หลังจบเกมนัดสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่มของศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อคืนนี้ (ยกเว้นคู่ อตาลันต้า-บียาเรอัล ที่เลื่อนออกไป) ทำให้เราได้เห็นหน้าตาของแชมป์และอันดับ 2 ในแต่ละกลุ่มกันอย่างชัดเจนกันไปแล้ว
ลิเวอร์พูล ซึ่งจบรอบนี้ด้วยการเป็นแชมป์กลุ่มกับการเก็บ 18 คะแนนเต็มเป็นทีมแรกของประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษและเป็นทีมที่ 7 ที่ทำได้ในรายการนี้ จะได้พบกับทีมอันดับ 2 ของกลุ่มที่เหลือ โดยมีข้อยกเว้นว่าพวกเขาจะไม่เจอกับกลุ่มตัวเอง และไม่เจอกับทีมที่มาจากชาติเดียวกัน
ซึ่งหมายความว่า หงส์แดง จะไม่ได้เจอกับ แอตเลติโก้ มาดริด ซึ่งจบเป็นที่ 2 ของกลุ่ม บี และ เชลซี ที่เป็นอันดับ 2 ของกลุ่มเอช, ส่วนทีมที่พวกเขาเตรียมลุ้นจากการจับฉลากประกอบไปด้วย ปารีส แซงต์-แชร์กแมง, สปอร์ติ้ง ลิสบอน, อินเตอร์ มิลาน, เบนฟิก้า, อตาลันต้า หรือ บียาเรอัล และ เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก
ว่าแล้วก็ลองมาวิเคราะห์กันดูว่าแต่ละทีมนั้นเป็นอย่างไรและ ลิเวอร์พูล จะเจอกับงานหนักมากน้อยขนาดไหน
- กลุ่มงานหนัก — ปารีส แซง แชร์กแมง และ อินเตอร์ มิลาน
กลุ่มนี้คือทีมระดับท็อปของลีกโดย เปแอชเช กำลังรั้งจ่าฝูงของ ลีกเอิง มีผลงานในรอบแบ่งกลุ่มคือแข่ง 6 ชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 1 เข้ารอบเป็นอันดับ 2 โดยมี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นจ่าฝูง
อินเตอร์ นั้นกำลังรั้งอันดับ 2 ในศึก กัลโช เซเรีย อา ตามหลัง เอซี มิลาน อยู่เพียงแต้มเดียว ผลงานในรอบแบ่งกลุ่มแข่ง 6 ชนะ 3 เสมอ 1 และแพ้ 2 ตาม เรอัล มาดริด ที่เข้ารอบเป็นอันดับ 1
การถูกจับมาเจอทั้ง 2 ทีมนั้นถือเป็นงานยาก แต่หากจะชี้ว่าใครหินกว่าก็ต้องยกให้ยักษ์ใหญ่จาก ลีกเอิง เพราะพวกเขามีแนวรุกที่น่ากลัวและทำผลงานในถ้วยใบนี้ได้ดีในช่วงหลัง โดยเคยผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศมาแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน และทั้งคู่เคยอยู่ร่วมกุล่มกันมาแล้วเมื่อซีซัน 2018-2019 ที่ หงส์แดง เป็นแชมป์ ซึ่งตอนนั้นผลัดกันแพ้-ชนะคนละนัด…บ้านใครบ้านมัน
ทางด้าน อินเตอร์ นั้นแม้ว่าจะดูเป็นงานเบากว่า เปแอชเช และผลงานโดยรวมของทีมจากอิตาลีในรายการนี้ช่วงหลังก็ไม่ได้โดดเด่นเข้ารอบลึกอะไรมากมาย อีกทั้ง หงส์แดง ยังเคยซ้อมมือกับ เอซี มิลาน มาแล้วก็น่าจะพอจับทางได้ แต่ก็ประมาทไม่ได้เหมือนกันกับฟุตบอล 2 เลกแบบนี้
เปอร์เซ็นต์เข้ารอบ : เปแอชเช – 50/50, อินเตอร์ มิลาน – 60/40
2. กลุ่มระดับปานกลาง — สปอร์ติ้ง ลิสบอน, เบนฟิก้า, เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก, อตาลันต้า หรือ บียาเรอัล
อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นการดูถูกกันนะ ไม่ใช่แบบนั้นเลย…การที่ทีมเหล่านี้ถูกจัดไว้ในระดับปานกลาง ไม่ได้หมายความว่า ลิเวอร์พูล จะเอาชนะได้ง่าย ๆ แต่แค่พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับ เปแอชเช และ อินเตอร์ เท่านั้น
สปอร์ติ้ง กับ เบนฟิก้า นั้นก็มีทีเด็ดพอตัว เพราะทั้งคู่ก็อยู่ในกลุ่มที่ค่อนข้างแข็งพอสมควร โดยเฉพาะทีม “เหยี่ยวลิสบอน” ที่สามารถแซงเข้าป้ายเป็นอันดับ 2 เขี่ย บาร์เซโลนา ตกรอบแบ่งกลุ่มเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีให้ไปลุ้นในถ้วย ยูโรป้าลีก ปลอบใจมาแล้ว
ส่วนอีกทีม อตาลันต้า ดูจะขี่ บียาเรอัล อยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งหากไม่มีอะไรพลิกล็อคทีมจากแบร์กาโมน่าจะเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ซึ่ง ลิเวอร์พูล เคยเจอมาแล้วในรอบแบ่งกลุ่มปีก่อนผลคือ แพ้-ชนะ อย่างละนัด แต่เป็นการบุกไปเก็บ 3 คะแนนนอกบ้านทั้งคู่ ดังนั้นนี่จึงถือเป็นงานที่อย่าได้ประมาทเลยทีเดียว
ปิดท้ายด้วย เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก ที่เคยประมือกันมาเมื่อ 2 ปีก่อนในรอบแบ่งกลุ่มซึ่ง หงส์แดง ก็สามารถเอาชนะไปได้ทั้งไปและกลับ ตอนนั้นทีมจากออสเตรียยังมี 3 ประสานอย่าง เออร์ลิง ฮาแลนด์, ฮวาง ฮี ชาน และ ทาคุมิ มินามิโนะ ค้ำในแนวรุก ก่อนที่ทั้งหมดจะค่อย ๆ แยกย้ายกันไปตามทาง โดย คล็อปป์ คว้าตัว ทาคิ มาร่วมทีมในเดือนมกราคมนั้นทันที
หากเทียบกันที่สถิติและตัวนักเตะอาจจะบอกได้ว่าการเจอกับแชมป์จากออสเตรียนั้นคือเกมที่ง่ายที่สุดในรอบน็อคเอ้าท์ก็ว่าได้ ซึ่งก็หวังว่าถึงเวลานั้นกุนซือชาวเยอรมันจะมีนักเตะฟิตครบสมบูรณ์พร้อมใช้งานด้วย
เปอร์เซ็นต์เข้ารอบ : อตาลันต้า 65/35, สปอร์ติ้ง – 70/30, เบนฟิก้า 70/30, บียาเรอัล 70/30 และ ซัลซ์บวร์ก 75/25
ทั้งนี้ เป็นเพียงแค่การวิเคราะห์ก่อนจับฉลากเท่านั้น, และถ้า ลิเวอร์พูล ยังสามารถรักษามาตรฐานการทำผลงานไว้ในระดับนี้ได้ต่อไปเรื่อย ๆ… มั่นใจเลยว่า คู่แข่งที่ต้องมาดวลแข้งกับทัพหงส์แดงในรอบต่อไป ก็ต้องคิดหนักเช่นกัน