ก่อนที่ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะลงตะบันแข้งกัน ได้มีการโหมโรงกันว่า นี่จะเป็นแม็ตช์หยุดโลกที่ทุกคนควรตั้งตารอคอย
คราวที่แล้วเอ่ยถึงสิ่งที่ เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลังหงส์แดงและกูรูของทาง สกายสปอร์ต พูดเอาไว้ว่า ศึกครั้งนี้จะกลายเป็น “เกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ” เพราะนี่ไม่ใช่แค่ 2 ทีมที่ดีที่สุดในประเทศ แต่พวกเขาคือ 2 ทีมที่ดีที่สุดในโลกฟุตบอล ณ เวลานี้
พร้อมทั้งมีการยกย่องกุนซือของทั้ง 2 ทีมอย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ว่าเป็นคู่ที่สมน้ำสมเนื้อทั้งเรื่องฝีมือ แท็คติก และความสำเร็จ เรียกได้ว่านี่คือ 2 ผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในยุคนี้ก็ว่าได้
คาร์ราเกอร์ ให้เหตุผลว่า แม้ที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีก จะเคยมีคู่ปรับอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – เชลซี และ เชลซี – อาร์เซนอล ในช่วงยุค 90 ถึง 2000 ต้น ๆ แต่ทั้งหมดก็เก่งแค่ในประเทศเท่านั้น
ต่างจาก ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วง 3 ปีหลังนอกจากจะกลายเป็นทีมที่ดีที่สุดในอังกฤษแล้ว พวกเขายังได้รับการยอมรับจากทั่วทั้งยุโรปและทั่วโลกด้วย
ความเห็นของ คาร์รา อาจจะไม่เกินเลยสำหรับแฟนบอล หงส์แดง และ เรือใบสีฟ้า เพราะความสำเร็จที่ผ่านมาเป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดี แต่มันไม่ถูกใจ พอล เมอร์สัน กูรูของ สกายสปอร์ต อีกคนที่เคยเล่นให้กับ อาร์เซนอล
เมอร์สัน คือกองหน้าของทีม ปืนโต ในช่วงยุค 80-90 และประสบความสำเร็จกับทีมมาพอสมควรทั้งเคยได้แชมป์ดิวิชัน 1 (เดิม) 2 สมัย เอฟเอคัพ 1 สมัย และ คัพวิเนอร์สคัพ (ก่อนถูกยุบรวมกับ ยูฟาคัพ เป็น ยูโรป้าลีก) อีก 1 สมัย
สิ่งที่กูรูคนนี้เห็นแย้งกับ คาร์ราเกอร์ คือ เขามองว่า ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ ยังไม่ใช่ยอดทีมอะไรขนาดนั้น เพราะทั้งคู่ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องและยาวนานพอที่จะพูดได้อย่างเต็มปาก แถมยังมีทีมเก่ง ๆ ในอดีตอย่าง อาร์เซนอล ชุดไร้พ่าย, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดทริปเปิ้ลแชมป์ และ เชลซี ชุดแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกของ โชเซ มูรินโญ ให้น่าพูดถึงมากกว่า
อดีตแข้ง กันเนอร์ส ยังพาดพิงไปถึง เวอร์จิล ฟาน ไดค์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ ว่านักเตะเหล่านี้ถ้าอยู่ในยุคเดียวกับพวก เธียร์รี อองรี, เดนนิส เบิร์กแคมป์, รอย คีน และ พอล สโคลส์ ก็ไม่รู้ว่าจะสู้กันได้หรือเปล่าด้วย
เมอร์สัน อาจไม่ได้บอกว่า ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ ไม่เก่งจริง แต่เขามองว่าทั้งสองทีมยังต้องพิสูจน์ตัวเองให้มากกว่านี้ต่างหาก
อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่กูรู สกายสปอร์ต ผู้นี้ตั้งข้อสงสัย น่าจะได้รับคำตอบเรียบร้อยแล้วในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
การพบกันของ หงส์แดง และ เรือใบสีฟ้า จบลงด้วยผลเสมอ 2-2 โดยรูปเกมเต็มไปด้วยแท็คติก ชั้นเชิง และการชิงจังหวะกันแทบจะทุกวินาที
ฟุตบอลของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา สามารถเอาชนะ เกเก้นเพรสซิง ของ เยอร์เก้น คล้อปป์ ได้ในครึ่งแรก ด้วยการฉวยโอกาสและแท็คติกการวางบอลยาวจากแนวลึกข้ามหัวกองกลางและกองหลัง แล้วให้ผู้เล่นเกมรุกสอดจากหลังแบ็คขึ้นไปสร้างโอกาสทำประตู
ส่วน คล็อปป์ ก็พลิกกลับเอาคืนนายใหญ่ชาวคาตาลันได้ในครึ่งหลังด้วยการฉวยโอกาสคืนและใช้ฟุตบอลที่เน้นประสิทธิภาพและการเข้าทำที่เด็ดขาด จัดการยิงประตูตีเสมอได้แบบเจ้าบ้านยังไม่ทันตั้งตัว แถมยังมีรูปเกมที่ดีขึ้นกว่า 45 แรกอีกด้วย
การเจอกันของทั้งคู่เมื่อคืนนี้ถือเป็นโชคดีของแฟนบอลที่ได้เห็นฟุตบอลที่เป็นฟุตบอลอย่างแท้จริง เพราะทั้งกุนซือและนักเตะของทั้ง 2 ทีมไม่มีสงครามจิตวิทยา ไม่เล่นนอกเกม ไม่มีดรามาในสนาม พวกเขาใช้ฟุตบอลเข้าห้ำหั่นกัน และแก้ทางบอลด้วยแท็คติกและตัวนักเตะที่มี
สุดท้าย, เราก็ได้เห็นการยิงประตูและผลการแข่งขันที่ถือว่ายุติธรรมที่สุดสำหรับความยอดเยี่ยมของทั้ง 2 ทีม
เยอร์เก้น คล็อปป์ ยอมรับหลังจบเกมว่า นี่คือแม็ตช์ระดับเฮฟวี่เวทที่ถ้าใครเผลอการ์ดตกอาจจะถูกน็อคได้ทุกวินาที และเป็นเกมที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะหายใจ แถมด้วยความเข้มข้นและสนุกที่สุด
ในขณะที่ เป๊ป เองก็เห็นไปในทางเดียวกัน แม้ว่าเขาจะเสียดายที่ลูกทีมไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ แต่ก็ไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาในรูปแบบใดแฟนบอลจะได้เห็นการลุ้นแชมป์กันจนนัดสุดท้ายของฤดูกาล
และทิ้งท้ายว่า เขาและ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน และยอมรับว่าผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ทำให้เขาเป็นโค้ชที่ดีขึ้นอีกด้วย
สิ่งที่ พอล เมอร์สัน พูดเอาไว้อาจจะไม่ผิด แต่เชื่อเถอะว่าหลายคนที่ได้ดูเกมนี้ก็คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือแม็ตช์ที่ดีที่สุดของฤดูกาลนี้ก็ว่าได้…