
หลังจบเกมนัดหยุดโลกระหว่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เสียงชื่นชมสรรเสริญต่อตัวกุนซืออย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็ดังขึ้นเท่าทวีคูณจากสิ่งที่ผู้ชมได้เห็นในสนาม
การเตรียมตัวและวางหมากของกุนซือ เรือใบสีฟ้า ช่วยให้ทีมของเขาเหนือกว่าในช่วง 45 นาทีแรก แต่หลังจากพักครึ่งเวลา นายใหญ่จากเมืองเบียร์ก็โชว์การแก้เกมอย่างเหนือชั้นทำให้ หงส์แดง กลับมาตีเสมอได้อย่างทันควันและเล่นได้ดีกว่าครึ่งแรกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ทั้งคู่จะกินกันไม่ลงจบลงด้วยสกอร์ 2-2 แบ่งแต้มกันไป
กุนซือทั้ง 2 คนทำให้การลุ้นแชมป์น่าติดตามชนิดที่ห้ามกระพริบตาอีกครั้ง ซิตี้ ยังคงมีแต้มเหนือกว่าผู้มาเยือนอยู่ 1 คะแนน ในขณะที่เหลือเกมตัดสินแชมป์อีก 7 นัดเท่ากัน ทำให้นึกหวนกลับไปเมื่อซีซัน 2018-2019 ที่ทีมของ เป๊ป คว้าแชมป์ได้ในวันสุดท้ายด้วยคะแนนสุดสูสีที่ 98-97 คะแนน
ความสูสีคู่คี่แบบนี้ทำให้หลายคนมองว่าทั้ง คล็อปป์ และ เป๊ป คือคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันที่สุดในโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน หากแต่ ดีทมาร์ ฮามันน์ อดีตกองกลางสุดคลาสสิคที่เคยเล่นให้ทั้ง หงส์แดง และ เรือใบสีฟ้า ไม่ได้คิดเช่นนั้น

จากผลงานและความสำเร็จที่ผ่านมาของ 2 ยอดผู้จัดการทีม อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมันผู้ที่เคยลงเล่นในถิ่น แอนฟิลด์ มาแล้วมากกว่า 280 นัด เชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนักที่จะยกมาเปรียบเทียบกัน เพราะคนหนึ่งได้คุมทีมชั้นยอดมาตลอด ส่วนอีกคนเป็นนักปั้นดินให้เป็นดาว
“คุณลองไปดูสิ่งที่ คาร์โล อันเชล็อตติ ทำมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมากับสโมสรที่เขาพาคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยยนส์ลีก ด้วย โชเซ มูรินโญ เป็นแชมป์กับ อินเตอร์ มิลาน และก่อนหน้านั้นเขาก็ทำได้กับ เอฟซี ปอร์โต้” ฮามันน์ เริ่มบทสนทนากับทาง ทอล์คสปอร์ต
“เป๊ป เป็นแชมป์กับ บาร์เซโลนา แต่ที่ บาเยิร์น มิวนิค เขาเข้ามาทำงานหลังจากที่ทีมเป็นแชมป์ยุโรปมาแล้ว และอยู่ที่นั่น 3 ปี แต่ก็ไม่เคยพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้อีกเลย เขาพาทีมตกรอบเซมิไฟนอล 3 ครั้งรวด และหลังจากที่เขาอำลาทีมไป 2-3 ปี ปรากฏว่า บาเยิร์น กลับมาได้แชมป์ยุโรปอีกครั้ง”
“ประเด็นก็คือ เขาไม่ได้ทำอะไรที่พิเศษไปกว่าคนอื่น แต่ถ้าเราไปดู คล็อปป์ เขาพา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา และเข้าชิง แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งยังไม่เคยมีใครทำได้เลยจนถึงตอนนี้”

“และที่เห็นได้ชัดคือเขาพา ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ลีกได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี เขาทำให้สโมสรกลับมาคึกคัก ซึ่งผมไม่คิดว่าการนำทั้ง 2 คนมาเปรียบเทียบกันนั้นมันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง สิ่งที่ คล็อปป์ ทำกับ ลิเวอร์พูล นั้นมันยิ่งใหญ่กว่าที่ กวาร์ดิโอลา ทำกับ ซิตี้ เสียอีก”
ฮามันน์ ให้เหตุผลที่เชื่อเช่นนั้น โดยเขามองว่าด้วยทรัพยากรที่ ลิเวอร์พูล มีให้กับ คล็อปป์ มันเทียบไม่ได้เลยกับที่ แมนฯ ซิตี้ ทุ่มให้อดีตกุนซือ บาร์เซโลนา แต่กลายเป็นว่าทั้งสองทีมกลับทำผลงานได้อย่างสูสี
“ทุกคนบอกว่า เป๊ป คือยอดกุนซือ แต่ถ้าคุณลองไปดุสถิติในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ใช่ เขาอาจจะทำให้ ซิตี้ ได้ 100 คะแนนในซีซันเดียวมาแล้ว แต่อย่าลืมว่าเงินที่ คล็อปป์ ใช้ในการทำทีมนั้นไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เขาอาจจะใช้เงินไปแค่ 1 ส่วน 4 เท่านั้น แต่ก็สามารถทำแต้มได้ถึง 98 หรือ 99 คะแนน และฤดูกาลนี้ก็กำลังเป็นแบบนั้นเหมือนกัน”
“ผมไม่เข้าใจกับว่าทำไมผู้คนจึงพากันพูดถึงสิ่งที่ เป๊ป ทำกับวงการฟุตบอล จริงอยู่ที่พวกเขาอาจจะมีสไตล์การเล่นที่ไม่เหมือนใคร แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเขาไม่มีนักเตะอย่าง ชาบี เอร์นันเดส, อันเดรียส อินเนียสต้า, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ และ ลีโอเนล เมสซี ที่ บาร์เซโลนา บางทีเขาอาจจะไม่สามารถเล่นฟุตบอลแบบนั้นได้”

สุดท้าย, เราก็ได้เห็นการยิงประตูและผลการแข่งขันที่ถือว่ายุติธรรมที่สุดสำหรับความยอดเยี่ยมของทั้ง 2 ทีม
เยอร์เก้น คล็อปป์ ยอมรับหลังจบเกมว่า นี่คือแม็ตช์ระดับเฮฟวี่เวทที่ถ้าใครเผลอการ์ดตกอาจจะถูกน็อคได้ทุกวินาที และเป็นเกมที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะหายใจ แถมด้วยความเข้มข้นและสนุกที่สุด
“เขาได้คุมทีมที่ดีที่สุดอยู่เสมอและทีมที่เขาไปคุมก็มีเงินมากมายมหาศาลให้ช้อปปิ้ง ผมว่ามันยังไม่พอหรอก”
ในมุมมของ ฮามันน์ เขาอาจจะมองว่า เป๊ป เป็นกุนซือที่ใช้เงินซื้อความสำเร็จ ซึ่งจะไปชี้ว่าเป็นเรื่องผิดก็ไม่ใช่ เพราะมันเป็นวิถีการทำงานของแต่ละคน ไม่มีกติกาใด ๆ ห้ามเอาไว้ แต่ก็เชื่อว่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล คงไม่ได้คิดมากอะไรแบบนั้น
ขอแค่มีผู้จัดการทีมที่ชื่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ คุมทีมไปนาน ๆ พวกเขาก็แฮปปี้แล้ว…