การเริ่มต้นของ ‘ผู้ไล่ล่า’

ไฮไลท์ลิเวอร์พูล, ลิเวอร์พูล, Liverpool

เรียกเต็มปากได้เลยว่า เป็นอีกเกมที่ลุ้นกันเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดกับการบุกไปเก็บ 3 คะแนนสำคัญได้ที่ เซลเฮิร์ทส์ ปาร์ค ของนักเตะ ลิเวอร์พูล

ใครที่ตื่นมาดูแต่สกอร์อาจจะคิดว่าเป็นเกมที่ง่ายดาย แต่จริง ๆ แล้วรูปการณ์กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังที่ลูกทีมของ ปาทริค วิเอรา เหมือนคนละทีมจากครึ่งแรก เช่นเดียวกับเด็ก ๆ ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่เหมือนส่งทีมชุด 2 ลงสนามใน 45 นาทีหลัง

บอกตามตรงว่าเกมนี้ถ้าไม่ได้ อลิสซอน “พ่อหมี” เบ็คเกอร์ ช่วยเซฟเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง สกอร์ไม่น่าจะออกมาแบบนี้ โดยเฉพาะช่วงก่อนเสียประตูตีไข่แตกในต้นครึ่งหลังที่นายด่านบราซิลเลียนโชว์หลายซูเปอร์เซฟจนต้องมองค้อนเพื่อนร่วมทีมไปหลายหน

เมื่อพูดถึงฟอร์มการเล่นโดยรวมแล้ว จัดว่า หงส์แดง ยังมีข้อผิดพลาดให้เห็นอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความเก๋าเกมกว่าทำให้พวกเขาเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้ได้ เกมในช่วง 45 นาทีแรกนั้นดูเหมือนจะไม่มีอะไร เพราะทุกอย่างเข้าทางไปหมด ทั้งการได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 8 และตามด้วยประตูที่ 2 ในนาทีที่ 32 แถมรูปเกมก็ดูจะเหนือกว่าเจ้าบ้านหลายช่วงตัว การออกไปพักครึ่งด้วยจำนวนประตูเช่นนี้จึงทำให้พวกเขาน่าจะเล่นได้ง่ายขึ้นเมื่อกลับมาในครึ่งหลัง

หากแต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะ วิเอรา ก็ติวแข้ง พาเลซ มาอย่างหนัก ปรับระดับเกมใหม่ทั้งหมด ปลุกเร้าลูกทีมให้วิ่งสู้ฟัดจัดเพรสหนักในทุกแดน ใช้ความเร็วของปีก 2 ข้าง พร้อมกับทีเด็ดในการแทงทะลุช่องจากแดนกลางเพื่อวัดกับเซ็นเตอร์ทีมเยือน ซึ่งทำให้เกมของพวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้นและสร้างความหวาดเสียวให้กับ ลิเวอร์พูล ได้ตั้งแต่นาทีที่ 46 เรื่อยมาจนได้ประตูตีไข่แตกนาทีที่ 55

คล็อปป์ พยายามแก้เกมทำลายโมเมนตั้มของเจ้าบ้านด้วยการส่งตัวรุกอย่าง มินามิโนะ มาแทน อ็อกซ์เหลด ที่หายไปจากเกม นั่นจึงทำให้ หงส์แดง พอจะตั้งตัวขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็เจียนอยู่เจียนไปหลายครั้ง จนในที่สุดพวกเขาก็มาได้ลูกจุดโทษจาก ดิโอโก้ โชต้า ที่ไปโดน บิเซนเต้ กูเอต้า รวบและเป็น ฟาบินโญ ที่ยิงจุดโทษปิดกล่องเข้าไป

ไฮไลท์ลิเวอร์พูล, ลิเวอร์พูล, Liverpool

เรื่องจุดโทษนั้นคงมีคนพูดกันไปเยอะแล้ว ซึ่งในมุมของ เควิน เฟรนด์ ถ้ายึดตามกฎก็เป็นไปตามนั้น แม้หลายคนจะมองว่ามันเบาไป แต่สุดท้ายผู้ตัดสินก็เป็นคนชี้ขาด

การกลับออกมาจากกรุงลอนดอนด้วย 3 คะแนนครั้งนี้ถือว่ามีค่าอย่างมากสำหรับ เยอร์เก้น คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล เพราะก่อนหน้านี้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมจ่าฝูงเพิ่งสะดุดด้วยการเสมอกับ เซาแธมป์ตัน ทำให้ช่องว่างของคะแนนแคบลงมาอีกนิด

จากเดิมที่ยังตามอยู่ 12 คะแนน การได้ 3 คะแนนในนัดนี้ทำให้เหลือ 9 คะแนนและยังแข่งน้อยกว่าอีก 1 นัด ซึ่งถ้าเก็บชัยชนะนัดตกค้างได้ พวกเขาก็จะอยู่ห่างจากจ่าฝูงแค่ 6 คะแนนเท่านั้น

ไฮไลท์ลิเวอร์พูล, ลิเวอร์พูล, Liverpool

และเมื่อแข่งเท่ากัน จากที่จะตาม 8 คะแนนกลายเป็น 6 คะแนน ตัวเลขแบบนี้ถือได้ว่ามีผลทางจิตวิทยาต่อนักเตะของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่น้อยเลยทีเดียว ประกอบกับเมื่อมาดูเกม 5 นัดต่อไปของทั้ง 2 ทีมยิ่งทำให้ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์น่าจะมีหวังพอสมควร

5 นัดหลังเบรคทีมชาติของ ลิเวอร์พูล จะพบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ (ห), เบิร์นลีย์ (ย), นอริช ซิตี้ (ห), เวสต์แฮม (ห) และ ไบรท์ตัน (ย), ในขณะที่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา จะต้องเจอกับ เบรนท์ฟอร์ด (ห), นอริช ซิตี้ (ย), สเปอร์ส (ห), เอฟเวอร์ตัน (ย) และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ห)

ดูไปแล้วงานของ หงส์แดง น่าจะง่ายกว่า ซิตี้ ที่ต้องเจอกับทีมใหญ่ถึง 3 ใน 5 เกม ซึ่งมีโอกาสที่ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา จะทำแต้มหกได้อีกไม่น้อย

มองในมุมของ ลิเวอร์พูล ทุกเกมต่อจากนี้ พวกเขาไม่มีอะไรต้องคิดมาก แค่ลงสนามและต้องเก็บ 3 คะแนนให้ได้เท่านั้น ในขณะที่ เรือใบสีฟ้า การหลุดเสมอหรือพ่ายแพ้จะสร้างแรงกดดันให้พวกเขาได้ไม่น้อยเช่นกัน แม้ว่าจะเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาแล้วในช่วง 3-4 ปีหลัง แต่ในโลกของฟุตบอลทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ

ที่แน่ ๆ เลย, มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะรักษามาตรฐานฟอร์มการเล่นได้มากกว่ากัน!

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top