ผลเสมอกับ คริสตัล พาเลซ เมื่อคืนนี้กลายเป็นที่ถกเถียงกันว่าการที่ ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ท 2 นัดแรกใน พรีเมียร์ลีก แล้วได้แค่ 2 คะแนนจากทีมน้องใหม่และทีมกลางตารางมานั้น ถือว่าพวกเขาอยู่ในช่วงวิกฤติได้หรือยัง?!
กองเชียร์ฝั่งหนึ่งเชื่อว่าการจะลุ้นแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้วคุณทำได้เพียง 2 คะแนนจากงานที่ไม่ได้ยากอะไรอย่าง ฟูแลม และ พาเลซ ถือว่าน่าเป็นห่วง เพราะปีที่แล้วก็มีเกมที่พลาดแบบนี้และกลายเป็นว่าพวกเขาไม่ได้แชมป์เพราะตามหลัง ซิตี้ เพียงแต้มเดียว
แต่นี่แค่ 2 นัดแรกระยะห่างก็ถูกถ่างออกไป 4 คะแนนแล้ว แถมยังมีเรื่องของการเสียประตูง่าย นักเตะได้รับบาดเจ็บเยอะ และการโดนไล่ออกของ นูนเญซ ที่ถือเป็นความหวังในแดนหน้า ไม่เรียกว่าวิกฤติแล้วจะให้เรียกว่าอะไร
ในขณะที่อีกฝั่งมองว่า ตอนนี้ยังเป็นแค่เริ่มต้น ยังมีอีก 36 เกมให้ลุ้นกันอีกยาว ๆ การได้เพียง 2 คะแนนยังไม่ถือว่าแย่เมื่อดูจากรูปเกมโดยรวม เพราะทั้ง 2 เกม ลิเวอร์พูล คือทีมที่เหนือกว่า ครองบอลได้มากกว่า มีการสร้างสรรค์เกมรุกได้ดีกว่า ต่างกันแค่ตรงการจบสกอร์ที่ทำได้ไม่ดีพอแค่นั้น หรือพูดง่าย ๆ ว่ายังใช้โอกาสเปลืองกันอยู่ ซึ่งเรื่องพวกนี้ถือเป็นปัญหาของ เยอร์เก้น คล็อปป์ มาตลอด แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องตีความว่ามันคือ “วิกฤติ”
หากใครได้ดูเกมนี้ก็พอรู้ว่ามันก็เหมือนกับหลาย ๆ เกมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ครองบอลและดาหน้าบุกใส่อย่างไม่ยั้ง สร้างโอกาสในการทำประตูได้มากมาย เพียงแต่ชอบยิงกันเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาบ้าง ชนเสาบ้าง ยิงแป๊กบ้าง แม้ในวันที่มี ดาร์วิน นูนเญซ ที่ถือว่าเป็นกองหน้าตัวจบสกอร์ที่ดีที่สุดของทีม ก็ยังมิวายติดโรควืดไปกับเค้าด้วย
และด้วยการบุกเพลินเจริญใจแบบนี้ทำให้พวกเขาเสียจังหวะในการป้องกัน และโดนลูกสวนกลับเล่นงานอีกเช่นเคย ก่อนจะถูกขึ้นนำ 1-0 ใน 45 นาทีแรก เหมือนเกมที่เจอกับ ฟูแลม แบบเป๊ะ ๆ
อย่างไรก็ตาม, เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียดจะพบว่า ในเกมนี้นักเตะ หงส์แดง บุกได้น้ำได้เนื้อกว่าเกมแรกเยอะ นั่นเป็นเพราะ ปาทริค วิเอรา สั่งลูกทีมมาตั้งรับแน่นหน้ากรอบเขตโทษในระบบ 5-4-1 โดยวาง วิลฟรีด ซาฮา เอาไว้เป็นตัวสวนกลับ ซึ่งมันก็ได้ผล เมื่อพวกเขาเล่นกันอย่างมีวินัย แม้จะโดนยิงบ้าง แต่ต้องถือว่าเกมรับทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีบกพร่อง
ลิเวอร์พูล ในเกมนี้เมื่อไม่มี ฟีร์มีโน ก็ต้องส่ง นูนเญซ ลงสนาม แต่ถึงมี บ็อบบี้ ก็เชื่อว่า คล็อปป์ ก็จะส่งแข้งอุรุกวัยลงเป็นตัวจริงแน่นอน เมื่อดูจากผลงานในเกมแรกที่ทำ 1 ประตู 1 แอสซิสต์ ซึ่งเกมนี้เจ้าตัวก็มีโอกาสเหน่ง ๆ ในช่วงครึ่งแรกอยู่ 2-3 ครั้ง แต่น่าเสียดายที่มันไม่เป็นประตู
ครึ่งหลังสถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ไปใหญ่เมื่อ นูนเญซ มาโดนไล่ออกเพราะไปเสียเหลี่ยมกองหลังทีมเยือน นั่นยิ่งทำให้มันยากลำบากขึ้นอีก แต่นายใหญ่เมืองเบียร์ก็ไม่สน เมื่อทีมกำลังตามหลังเขาจึงต้องรีบเอาคืนด้วยการปรับมาเล่น 2-3-4 คือเทหมดหน้าตัก และสุดท้ายก็ได้ประตูจากความสามารถเฉพาะตัวของ หลุยส์ ดิอาซ
มีหลายทฤษฎีเกิดขึ้นหลังจบเกม ถ้า นูนเญซ ไม่โดนไล่ออก บางที ลิเวอร์พูล อาจจะตีเสมอไม่ได้ หรือถ้ายังครบ 11 คนก็อาจจะยิงเพิ่มอีก 1 ลูกเก็บ 3 คะแนนก็ได้
และที่มีการพูดกันหนาหูคือ หงส์แดง วิกฤติเสียแล้ว เพราะ 2 นัดทำได้แค่ 2 คะแนน กองหลังก็รั่ว กองกลางก็เจ็บ หน้าก็ไม่คม แบบนี้จะไปสู้ แมนฯ ซิตี้, อาร์เซนอล, เชลซี และ สเปอร์ส ที่ออกตัวดีกว่าได้อย่างไร
หากมองกันแค่สกอร์และสถานการณ์การลงเล่นในถิ่น แอนฟิลด์ รวมทั้งสถิติในการเจอกับ พาเลซ ที่ผ่านมาก็อาจจะมองแบบนั้นได้ เพราะ ลิเวอร์พูล ถือว่าข่มมิดทุกมิติ แต่กลายเป็นว่าพวกเขาเกือบแพ้คาบ้านแถมเหลือ 10 คนอีกต่างหาก
แต่ถ้าพิจารณาจากรูปเกมก็ต้องบอกว่า หงส์แดง ของ คล็อปป์ ยังเล่นได้ตามระบบ พวกเขาครองบอลและบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง มีรูปแบบเกมของตัวเองที่ชัดเจน แต่ในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจจะยังไม่สมบูรณ์ซักเท่าไหร่
อย่าลืมว่าการมี ดิอาซ และ นูนเญซ ในแดนหน้ามันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นใหม่ แม้จะใช้รูปแบบเดิมคือ 4-3-3 แต่ในรายละเอียดต้องปรับจูนกันอีกครั้ง เพราะไม่มี ซาดิโอ มาเน ที่เล่นอีกสไตล์และคุ้นเคยกันดี ดังนั้นฟอร์มจึงออกมากะท่อนกะแท่นอย่างที่เห็น
คล็อปป์ รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเจอกับการตั้งรับลึกแบบนี้ ไม่งั้นคงไม่ซื้อ นูนเญซ เข้ามา รวมทั้งใช้งาน ดิอาซ เป็นตัวจริง เพียงแต่สิ่งที่กำลังทำนั้นอาจจะยังไม่ออกดอกออกผลเท่าที่ควร
หากคิดในสถานะของทีมเต็งแชมป์ แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล ทำได้ไม่ดีนัก แต่ถ้าถามว่าวิกฤติหรือยัง ก็ต้องบอกว่ารอดูกันไปก่อน ผ่านไปอีกซัก 2-3 เกม ถ้าเล่นไม่ได้ เสียประตู เก็บแต้มไม่ได้ ตอนนั้นค่อยมานั่งคุยกันถึงเรื่องนี้ก็ได้
เกมหน้าในการไปเยือน โอลด์ แทรฟฟอร์ด จะถือเป็นโอกาสแก้ตัว แม้จะไม่ง่าย แต่ถ้ายังสามารถรักษามาตรฐานรูปเกมเอาไว้ได้และได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ ก็ถือว่าพวกเขายังพอมีโอกาสที่จะกลับมาได้เหมือนกัน