ลิเวอร์พูล vs ไบรท์ตัน พรีเมียร์ลีก 2023-24
ลิเวอร์พูล vs ไบรท์ตัน เกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 30 ในฤดูกาล 2023-24, ทัพนักเตะของ ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำทัพของกุนซือ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงทำผลงานในถิ่น แอนฟิลด์ ได้อย่างแข็งแกร่งเช่นเคย หลังจากพลิกกลับมาเอาชนะ ไบรท์ตัน สุดระทึกไปด้วยสกอร์ 2-1 พร้อมขยับไปรั้งจ่าฝูงของตารางคะแนน
ในเกมนี้ ลิเวอร์พูล โดนผู้มาเยือนยิงขึ้นนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่นาทีที่ 2 แต่ก็สามารถตามกลับมาตีเสมอ และยิงประตูชัยได้สำเร็จในท้ายที่สุด โดยถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่แฟนบอล หงส์แดง ต้องส่งใจเชียร์กันอย่างสุด ๆ และนี่คือ 5 ประเด็นที่น่าพูดถึงอย่างมากในเกมนี้
1. ลิเวอร์พูล เกือบหลับ แต่ยังกลับมาได้
แน่นอนว่า มันเป็นสิ่งที่แฟนบอลไม่ได้คาดหวังให้มันเกิดขึ้น กับการที่ ลิเวอร์พูล โดน ไบรท์ตัน ขึ้นนำอย่างรวดเร็วในนาทีที่ 2 จากลูกยิงของ แดนนี่ เวลเบ็ค และถ้านับสถิติก็เป็นครั้งที่ 13 แล้วในรายการ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ที่ทีมของ คล็อปป์ โดนคู่แข่งขึ้นนำไปก่อน
ขณะเดียวกัน จังหวะที่ผู้มาเยือนทำประตูขึ้นนำ มันเป็นโอกาสเพียงครั้งแรกของ ไบรท์ตัน เท่านั้น แต่พวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงความเฉียบขาด ซึ่งการทำประตูขึ้นนำได้เร็วนั้น ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ต้องพบกับความยากลำบากในการเล่น และต้องคอยหาทางเจาะแนวรับผู้มาเยือน
แต่ก็ดูเหมือนว่า ฝั่งเจ้าบ้าน ลิเวอร์พูล มีความคุ้นเคยกับกับการเป็นฝ่ายตามหลังอยู่แล้ว โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ และในเกมนี้พวกเขาก็แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า พวกเขามีประสบการณ์และคุณภาพมากพอ ที่จะเป็นฝ่ายกลับมาเก็บชัยชนะได้ตอนจบเกม
2. ผู้ตัดสินเกม ลิเวอร์พูล vs ไบรท์ตัน
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นผู้ซัดประตูชัย ให้กับ ลิเวอร์พูล ในนาทีที่ 65, แต่เอาจริง ๆ แล้ว มันเป็นเกมที่ดีหรือเกมแย่ของ ซาลาห์ กันแน่ล่ะ?!
นั่นขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณเองล้วน ๆ! ขึ้นอยู่กับว่า เราให้คะแนนจากการที่ ซาลาห์ มีส่วนร่วมตลอดทั้งเกม หรือ นับเฉพาะสกอร์ที่เจ้าตัวทำได้ โดยครึ่งเวลาแรก ดาวเตะชาวอิยิปต์ มีโอกาสง้างเท้าสับไกยิงถึง 7 ครั้ง แต่ไม่ได้ประตูกลับมา แม้แต่ลูกเดียว
ซาลาห์ มีโอกาสซัดจ่อ ๆ หลายครั้ง แต่ก็พลาดเป้า ติดเซฟผู้รักษาประตู และติดบล็อกแนวรับ ไบรท์ตัน อยู่หลายจังหวะ แต่สุดท้าย ปีกวัย 31 ปี ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ตามตีเสมอจากประตูของ หลุยส์ ดิอาซ และเขาเป็นคนซัดประตูชัยให้ทีม
ขณะเดียวกัน แฟนบอล ลิเวอร์พูล อย่าลืมว่า ซาลาห์ เพิ่งจะหายเจ็บกลับมาสู่ทีม และฟอร์มของเขาอาจยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก อาจต้องใช้เวลาอีกนิด เพื่อให้ฟอร์มการเล่นของเขา กลับสู่ความสมบูรณ์แบบอีกครั้ง
3. ผลงานของ จาร์เรลล์ ควอนซาห์ และ คอเนอร์ แบรดลี่ย์
โรแบร์โต เด แซร์บี้ กุนซือชาวอิตาเลียนของ ไบรท์ตัน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พวกเขาต้องการขึ้นเกมทางแนวรุกฝั่งซ้ายเป็นหลัก โดยมี ไซม่อน อดินกร้า ปีกดาวรุ่งความเร็วสูง ยืนเป็นตัวหลักในการพักบอล ครองบอล และใช้เทคนิคปั่นป่วนกองหลัง ลิเวอร์พูล
แน่นนอนว่า การรับมือกับ อดินกร้า มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ คอเนอร์ แบรดลีย์ ที่เล่นในตำแหน่งแบ็กขวา และ จาร์เรล ควอนซาห์ ที่ยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็คฝั่งขวา แต่ทั้งคู่ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม และมีสมาธิกับเกมตลอดทั้ง 90 นาที
คอเนอร์ แบรดลีย์ มีความมั่นใจในการเพรสซิงและเข้าปะทะ รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงความดุดันในการเติมเกรุก ในขณะที่ จาร์เรล ควอนซาห์ เล่นได้อย่างใจเย็น และอ่านเกมได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งดูเหมือนว่า คล็อปป์ จะมีความอุ่นใจมากขึ้น กับตัวเลือกแนวรับที่มีในช่วงท้ายซีซั่น
4. แผงกองกลางที่มีตัวเลือกมากขึ้น
ชั่วโมงนี้ คงมีนักเตะใน พรีเมียร์ลีก ไม่กี่คน ที่ดีไปกว่า อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ผู้นี้ คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในการคว้าชัยชนะของ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้ หลังจากระเบิดฟอร์มการเล่นที่สุดยอดด้วยการทำ 1 แอสซิสต์ พร้อมกับคว้ารางวัล “แมน ออฟ เดอะ แมตช์” ไปครอบครอง
ขณะที่ วาตารุ เอ็นโด ก็ยังคงปักหลักหน้าแผงแนวรับได้อย่างแข็งแกร่งเช่นเคย โดยทำหน้าที่ทั้งคุมจังหวะ ตัดบอล และแก้ไขสถานการณ์ในจังหวะคับขัน ส่วน โดมินิค โซบอสซ์ไล ก็ฟิตสมบูรณ์พร้อมลงสนาม แถมยังมีความมั่นใจในการเล่นมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย
เมื่อมองไปที่มิดฟิลด์คนอื่น ๆ อย่าง ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ที่กำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ขณะที่ เคอร์ติส โจนส์ ใกล้จะคืนสู่ทีมเต็มที ส่วน ไรอัน กราเฟนแบร์ช ก็ได้ลงเล่นเป็นตัวสำรอง หลังจากบาดเจ็บไปนาน ทำให้ คล็อปป์ สามารถหมุนเวียนผู้เล่นในโปรแกรมเตะที่สุดจะถี่ยิบได้ แบบไม่ส่งผลกระทบต่อทีมมากนัก
5. กลับไปรั้งจ่าฝูง หลังเกม ลิเวอร์พูล vs ไบรท์ตัน
เหลืออีก 9 เกมนับจากนี้ ที่ ลิเวอร์พูล ต้องเดินหน้าคว้าชัยชนะให้ได้ทั้งหมด หากหวังจะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไปครอบครอง, แน่นอนว่า สัปดาห์นี้ พวกเขาทำสำเร็จด้วยการเฉือนชนะ ไบรท์ตัน และไปรอลุ้นผลการแข่งขันของอีกคู่ ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ อาร์เซนอล
หลังจบเกมที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ที่ แมนฯ ซิตี้ เสมอกับ อาร์เซนอล ไป 0-0, ทำให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงแบบเดี่ยว ๆ โดยมีแต้มนำหน้า “ปืนใหญ่” และ “เรือใบสีฟ้า” 2 และ 3 คะแนนตามลำดับ ซึ่งเป็นสถานะที่สาวก “เดอะ ค็อป” รู้สึกพึงพอใจสุด ๆ
หลังจากนี้ไป ทุกเกมของ ลิเวอร์พูล มันจะเหมือนกับเกมนัดชิงชนะเลิศ และเป็นช่วงเวลาที่แฟนบอล “หงส์แดง” ทั่วโลก จะได้ลุ้นกันสุด ๆ แบบนัดต่อนัด