ลิเวอร์พูล – เชลซี กับ 5 ประเด็นหลังเกม หงส์แดง เปิดบ้านถล่ม สิงห์บลู

ลิเวอร์พูล – เชลซี เกมพรีเมียร์ลีกกลางสัปดาห์ ที่ทัพ หงส์แดง ต้องเก็บ 3 แต้มให้ได้ กับการเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ สิงห์บลู เพื่อรักษาตำแหน่งการเป็นจ่าฝูงต่อไป

ซึ่งในเกมนี้, ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็ไม่ทำให้เหล่า เดอะ ค็อป ผิดหวัง แถมยังเล่นกันได้อย่างโดดเด่นตลอดทั้งเกม ช่วยเพิ่มความมั่นใจ ก่อนจะยกพลไปเยือน อาร์เซนอล ในสัปดาห์หน้า และนี่คือบทสรุป 5 ประเด็นหลังเกม ที่น่าประทับใจเกมหนึ่งของ ลิเวอร์พูล

1. มีการแข่งขัน เพื่อแย่งตำแหน่งแบ็คขวาตัวจริงเกิดขึ้น

คอเนอร์ แบรดลีย์

1 ประตู และ 2 แอสซิสต์ ที่มาจากนักเตะตำแหน่งแบ็คขวา, โดยที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่ได้อยู่ในสนาม มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก และ คอเนอร์ แบรดลีย์ ดาวรุ่งชาวไอร์แลนด์เหนือ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขามีฝีเท้าดีพอ ที่จะท้าชิงตำแหน่งแบ็คขวาตัวจริง

ในเกมนี้, แบ็คขวาวัย 20 ปี โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง จากการเติมเกมรุกขึ้นมายิงประตูเสียบเสาอย่างเฉียบขาด อีกทั้งยังทำแอสซิสต์ให้กับ ดิโอโก โชต้า และ โดมินิค โซบอสซ์ไล ทำคนละ 1 ประตู ซึ่งในส่วนของเกมรับ แบรดลีย์ ก็รับมือกับบรรดานักเตะฝั่งซ้ายของ เชลซี อย่าง ไมไคโล มูดริก และ เบน ชิลเวลล์ ได้เป็นอย่างดี

ผลงานอันยอดเยี่ยมของ แบรดลีย์ ในเกมนี้ ยังทำให้เจ้าตัวได้รับรางวัล “แมน ออฟ เดอะ แมตช์” อีกครั้ง และบรรดาแฟนบอล “เดอะ ค็อป” ก็พร้อมอกพร้อมใจกัน แต่งเพลงเชียร์ประจำตัวให้เขาไปเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่เกมรับอีกฝั่งของสนามอย่าง โจ โกเมซ ที่ขยับมารับบทแบ็คซ้ายจำเป็น ตลอดเดือนที่ผ่านมา ก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย ซึ่งทำให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่เพิ่งหายเจ็บกลับมา นั้น ต้องเจอกับงานหนักที่จะแย่งตำแหน่งตัวจริงกลับคืนมา

ดูสถิติของ Conor Bradley

2. ดาร์วิน นูนเญซ เปี่ยมล้นไปด้วยความกระหาย ในเกม ลิเวอร์พูล – เชลซี

ดาร์วิน นูนเญซ

คงไม่มีกองหน้าใน พรีเมียร์ลีก คนใด ที่จะโชคร้ายไปกว่า ดาร์วิน นูนเญซ อีกแล้ว, ซึ่งในเกมนี้ ดาวยิงชาวอุรุกวัย ขาดโชคอีกครั้ง หลังซัดไปชนเสาและคาน รวมกัน 4 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติที่มากที่สุดใน 1 เกม ของผู้เล่นในลีกสุงสุดเมืองผู้ดี

นูนเญซ กลายเป็นผู้เล่นจาก พรีเมียร์ลีก คนแรกที่ยิงประตู และแอสซิสต์รวมทุกรายการเข้าสู่เลข 2 หลัก และหากไม่ใช้โอกาสเปลืองจนเกินไป เจ้าตัวน่าจะมีชื่อเป็นคนทำประตู เชลซี ได้อย่างน้อย 1 ลูก แต่ก็ต้องขอชื่นชมในความมุ่งมั่นของเขา ที่ทำไป 1 แอสซิสต์ ให้กับ หลุยส์ ดิอาซ ทำประตูปิดกล่อง

อย่างไรก็ตาม, ศูนย์หน้า วัย 24 ปี ยังทำผลงานในภาพรวมได้ยอดเยี่ยมเช่นเคย ทั้งการพักบอล ครองบอล เพรสซิ่ง และเคลื่อนที่เพื่อสร้างโอกาสให้กับตัวเอง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ฟอร์มการเล่นของ นูนเญซ ดูมีพัฒนาการขึ้นในทุก ๆ เกม ที่เขาได้โอกาสลงสนาม

3. ผลงานของแนวรุกในวันที่ไม่มี โมฮาเหม็ด ซาลาห์

ลิเวอร์พูล - เชลซี

ซาลาห์ ยังคงต้องพักอยู่ข้างสนาม เนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บ และถึงแม้แฟนบอลจะคาดหวังว่า ปีกชาวอิยิปต์ จะสามารถกลับมาลงสนามได้ในเร็ว ๆ นี้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อนจนเกินไป หลังจาก 3 แนวรุกอย่าง นูนเญซ, โชต้า และ ดิอาซ กำลังเล่นร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง ในเกม ลิเวอร์พูล – เชลซี

อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ดาร์วิน นูนเญซ กำลังพัฒนาตัวเองขึ้นในทุก ๆ วัน ขณะที่ โชต้า ก็ยังเป็นที่พึ่งพาของทีมได้เสมอ เมื่อทีมต้องการประตู ส่วน หลุยส์ ดิอาซ ก็คืนฟอร์มเก่งกลับมาได้ทันเวลา ซึ่งเรียกได้ว่า ทั้ง 3 คน สามารถรีดฟอร์มเก่งได้ ในเวลาที่เหมาะสม

เกมนี้ ดาร์วิน นูนเญซ ทำไป 1 แอสซิสต์, ดิโอโก้ โชต้า ทำ 1 ประตู ขณะที่ ดิอาซ 1 แอสซิสต์ และ 1 ประตู, ทั้ง 3 คน ช่วยกันไล่เพรสซิ่งแนวรับของ เชลซี จนปั่นป่วนตลอดทั้งเกม นอกจากนี้ พวกเขายังสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ เนื่องจากพูดภาษาโปรตุเกสเหมือนกันอีกด้วย

4. ความเป็นจอมทัพของ แม็ค อัลลิสเตอร์ ในเกม ลิเวอร์พูล – เชลซี

อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์

กองกลางชาวอาร์เจนไตน์ กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้ง, หลังจากเกม เอฟเอ คัพ ที่ถล่ม นอริช ซิตี้ 5-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีม เนื่องจากบาดเจ็บเล็กน้อย และ แม็ค อัลลิสเตอร์ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาเป็นคนกำหนดทิศทางการเล่นของทีม โดยแท้จริง

ดาวเตะวัย 25 ปี ทำให้แดนกลางสนามของ ลิเวอร์พูล ดูนิ่ง และเหนือกว่า เชลซี เป็นอย่างมาก เขาทำหน้าที่ตัดบอล คุมจังหวะเกม ถ่ายบอล และเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่กดดัน ได้อย่างยอดเยี่ยม นอกเหนือจาก คอเนอร์ แบรดลีย์ แล้ว, แม็ค อัลลิสเตอร์ ก็เป็นอีกคนที่สมควรได้รับคำชื่นชมเช่นกัน

กองกลางเลือด “ฟ้าขาว” ทำสถิติสกัดบอลสำเร็จ 7 จาก 8 ครั้ง มากกว่าทุกคนในสนาม และยังมีการจ่ายบอลที่ได้เปรียบแทบทุกจังหวะ ถือเป็นการเล่นในบทบาทมิดฟิดล์หมายเลข 6 ที่น่าประทับใจอย่างมาก

5. เกมหนัก ออกเยือน อาร์เซนอล ในนัดต่อไป

อาร์เซนอล - ลิเวอร์พูล

การเอาชนะ สิงห์บลู ในเกม ลิเวอร์พูล – เชลซี, เปรียบเสมือนกับการที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ส่งคำเตือนไปยังทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ว่า พวกเขาพร้อมแล้ว สำหรับเกม คาราบาว คัพ นัดชิงชนะเลิศ ที่จะฟาดแข้งกัน ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่สนามเวมบลีย์

ก่อนจะถึงวันนั้น ลิเวอร์พูล จะมีเกมบิ๊กแมตช์อีก 1 เกมในนัดต่อไป ที่ต้องออกไปเยือน อาร์เซนอล ที่สนาม เอมิเรตส์ สเตเดียม ในคืนวันอาทิตย์นี้ และหากมีแต้มกลับออกมา ทีมของ คล็อปป์ ก็จะมีโอกาสลุ้นแชมป์ ไปจนถึงช่วงท้ายซีซั่นอย่างแน่นอน


ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top