ลิเวอร์พูล vs เอฟเวอร์ตัน 5 ประเด็นหลังเกม Merseyside Derby ที่ค่อนข้างหืดจับ

ลิเวอร์พูล vs เอฟเวอร์ตัน หรือที่หลาย ๆ คนมักเรียกกันเป็นว่า เป็น ดาร์บี้แมตช์ แห่งถิ่น Merseyside และเป็นฝั่งของ ลิเวอร์พูล ที่เปิดรัง แอนฟิลด์ เชือด เอฟเวอร์ตัน ไปได้ ใน ดาร์บี้แมตช์ นัดแรกของฤดูกาล 2023/24 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา

แม้บรรดานักเตะ ลิเวอร์พูล จะต้องออกแรงเยอะไปหน่อย เพื่อเก็บ 3 คะแนนในเกมนี้ แต่ก็ถือว่า พลพรรคหงส์แดง ก็ทำผลงานได้ตามเป้าหมาย เพราะการทำศึก เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แมตช์ ไม่ใช่งานง่ายอยู่แล้ว และนี่คือ 5 ประเด็นที่พูดถึง ในเกมที่เหนื่อยที่สุดเกมหนึ่งของ ลิเวอร์พูล  

1. นักเตะพื้นที่ฝั่งซ้าย ในเกม ลิเวอร์พูล vs เอฟเวอร์ตัน

Tsimikas - Gravenberch

นักเตะในพื้นที่ฝั่งซ้าย กลายเป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างมาก หลังจาก คอสตาส ซิมิกาส แบ็คซ้ายทีมชาติกรีซ ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงแทนที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ได้รับบาดเจ็บยาว จากการไปเล่นให้กับทีมชาติสกอตแลนด์ รวมไปถึง ไรอัน กราเวนแบร์ช กองกลางชาวดัตช์ ที่ลงเล่นแทน เคอร์ติส โจนส์ ที่ยังติดโทษแบนจากเกมที่บุกไปพ่ายให้กับ สเปอร์ส

สำหรับ คอสตาส ซิมิกาส เอง ที่แม้จะย้ายมาเล่นกับ ลิเวอร์พูล ได้นานถึง 3 ปี แต่นี่เป็นเพียงเกมดาร์บี้ แมตช์ แห่ง Merseyside หนที่ 2 ของเจ้าตัวเท่านั้น และ แบ็ควัย 27 ปีรายนี้ ก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ทั้งในการเกมเล่นเกมรับ และเติมเกมรุก

ขณะที่ กราเวนแบร์ช ก็ยืนปักหลักประจำการ ในแผงมิดฟิลด์ฝั่งซ้ายได้อย่างยอดเยี่ยม โดยดาวเตะวัย 21 ปี ทำได้ดีในการครองบอล ขับเคลื่อนเกม และเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่กดดัน ซึ่งถือว่า เขาสอบผ่านกับเวลา 62 นาทีที่เขาได้ลงสนามในเกม ลิเวอร์พูล vs เอฟเวอร์ตัน

เมื่อ โรเบิร์ตสัน ต้องพักยาวไปจนถึงสิ้นปี โจนส์ ยังติดโทษแบน และ ติอาโก้ อัลคันทาร่า กองกลางมากประสบการณ์ชาวสเปน ก็ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ เราคงจะได้เห็น ซิมิกาส และ กราเวนแบร์ช ลงเล่นประสานงานกันทางฝั่งซ้ายไปอีกหลายเกม

2. รับมือกับการลงเล่นเป็นคู่แรกได้ดีขึ้น ในเกม ลิเวอร์พูล vs เอฟเวอร์ตัน

ลิเวอร์พูล vs เอฟเวอร์ตัน

เมื่อฤดูกาลที่แล้ว มีการตั้งข้อสังเกตว่า ลิเวอร์พูล มักทำผลงานได้ย่ำแย่มาก กับการได้คิกออฟเป็นคู่แรก โดยลูกทีมของ คล็อปป์ ไม่สามารถชนะใครได้เลยจาก 6 นัด ที่ลงเตะในเวลา 12.30 น. แต่ในซีซันนี้ นักเตะหงส์แดง กลับทำผลงานแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

จากการลงเล่น 2 เกม ในคู่แรกในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล บุกไปเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส และเปิดบ้านอัด เอฟเวอร์ตัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่า นักเตะ หงส์แดง มีความมั่นใจมากขึ้น และมีขุมกำลังเชิงลึกที่ดีกว่าปีก่อน

หลังจบเกมที่สุดอึดอัดกับ เอฟเวอร์ตัน ก็ดูเหมือนว่า ทีมของ คล็อปป์ ก็คงจะรับมือกับการที่ต้องลงเล่นเป็นคู่แรกได้ดีขึ้นมากกว่าเดิม

3. เกมรุกไม่เฉียบขาด แม้มีโอกาสเข้าทำมากมาย

Luis Diaz

ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงประตูมากถึง 15 ครั้ง ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง และมีเพียงลูกเดียวเท่านั้นที่ตรงกรอบ ซึ่งตัวเลขนี้ไม่สามารถสร้างปัญหาให้ จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวาร เอฟเวอร์ตัน ได้เลย จนกระทั่งมาได้ประตูจากลูกจุดโทษ และจังหวะการสวนกลับในช่วงท้ายเกม

โดมินิค โซบอสซ์ไล กองกลาวชาวฮังการี และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็คขวารองกัปตันทีม เป็น 2 นักเตะ ลิเวอร์พูล ที่พยายามยิงไกลจากแถวสองอยู่หลายครั้ง รวมถึงไปความพยายามสร้างสรรค์เกมรุกจาก หลุยส์ ดิอาซ ปีกชาวโคลอมเบีย และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตัวรุกทีมชาติอิยิปต์ แต่ในช่วงแรก ก็ยังดูขาด ๆ เกิน ๆ ไปแทบทั้งหมด

แน่นอนว่า มันยากเสมอที่จะเจาะแผงแนวรับของผู้เล่นที่ยืนในแดนตัวเอง 10 คน ลิเวอร์พูล ก็เล่นได้ไม่เร็วพอ และจ่ายบอลสุดท้ายได้ไม่เฉียบขาด จนกระทั่ง ฮาร์วีย์ เอลเลียต มิดฟิลด์ดาวรุ่ง และ ดาร์วิน นูนเญซ หัวหอกชาวอุรุกวัย ลงมาเปลี่ยนจังหวะของเกม และดูเหมือนว่า จะได้ผล หลังจากทั้งคู่พยายามจ่ายบอลเร็ว เคลื่อนที่ตลอดเวลาเพื่อฉีกผู้เล่น เอฟเวอร์ตัน ออกมาจากแนว และหาโอกาสจบสกอร์

เกมรุกที่ดูไม่ลงตัว จากโอกาสที่มากมาย ทำให้ คล็อปป์ และทีมงานสตาฟฟ์โค้ช มีการบ้านที่ต้องกลับไปแก้ไขพอสมควรกับเกมลีกนัดต่อไป ที่ ลิเวอร์พูล จะต้องเปิดบ้านเจอกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่น่าจะมาเน้นเล่นเกมรับเป็นหลัก

4. โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังฟอร์มแรงต่อเนื่อง

ซาลาห์

เกม ลิเวอร์พูล vs เอฟเวอร์ตัน ที่เพิ่งจบไป อาจจะเกมที่ดีที่สุดของ ซาลาห์ ในฤดูกาลนี้ แต่ประสิทธิภาพของเขายังคงยอดเยี่ยมเสมอ เมื่อเขาได้ลงเล่นใน แอนฟิลด์ และแม้ว่าจะต้องขอบคุณประตูจุดโทษ และความใจกว้างจากการแอสซิสต์ของ ดาร์วิน นูนเญซ ในครั้งนี้ด้วยก็ตาม

ขณะเดียวกัน การซัดไป 2 ประตู ในนัดนี้ ทำให้ ซาลาห์ สร้างสถิติทำประตู หรือ แอสซิสต์ได้เป็นเกมที่ 13 ติดต่อกัน จากการลงสนามในศึกพรีเมียร์ลีกที่ แอนฟิลด์ รวมถึงทำสถิติยิงประตูในบ้านแซงหน้าตำนานของสโมสร สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตกองกลางกัปตันทีม และเคนนี ดัลกลิช อดีตยอดกองหเน้าทีมชาติสก็อตแลนด์ ไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยจำนวน 105 ประตู

สถิติของ ดาวเตะวัย 31 ปี ยังคงไม่หยุดแค่นี้ และหากมองจากสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ ความมุ่งมั่น ประสบการณ์ในสนาม ความเฉียบขาด และความเป็นมืออาชีพ ทั้งในและนอกสนาม ของ ซาลาห์ นั้น ตัวเลขจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ แน่นอน

5. ได้ยึดตำแหน่งจ่าฝูงในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจบเกม

Merseyside Derby

พรีเมียร์ลีก เพิ่งเปิดม่านมาได้ 9 นัดเท่านั้น และทีมอื่นๆ ก็ได้ลงเล่น หลังจบเกม ลิเวอร์พูล vs เอฟเวอร์ตัน ที่เป็นคู่เปิดประจำสัปดาห์ แต่การคว้า 3 คะแนนเหนือทีมคู่แค้นร่วมเมือง เพื่อขึ้นไปยืนเป็นจ่าฝูงหลังจบช่วงพักเบรกทีมชาติ เป็นสิ่งที่เหล่า เดอะ ค็อปทุกคนต้องการอย่างแน่นอน แม้มันจะเป็นเพียงระยะเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม

ทีมของ คล็อปป์ ค่อย ๆ สะสมความมั่นใจให้เพิ่มมากขึ้น และมีเป้าหมายในการเกาะกลุ่มลุ้นแชมป์ได้จนจบซีซัน ซึ่งการได้เบียดมายืนเป็นอันดับ 1 ก็หมายความว่า พวกเขาพร้อมแล้ว ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงอย่างเต็มตัว กับบรรดาสโมสรฟอร์มแรงอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์เซนอล และ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์

การที่ ลิเวอร์พูล เวอร์ชั่น 2.0 เก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง และ ยังคงเกาะกลุ่มผู้นำเอาไว้ได้นั้น ทำให้บรรดาสาวก เดอะ ค็อป ได้ลุ้นกันอย่างสนุกต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว ทีมจะไปจบที่ตรงไหนของการแข่งขันประจำฤดกาล 2023-2024

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top