Ryan Gravenberch เปรียบเสมือนตัวแทนของ Wijnaldum หรือเปล่า?

Ryan Gravenberch ตบเท้าเข้ามาเป็นนักเตะคนใหม่ของ Liverpool เรียบร้อยแล้ว ในวัน Deadline Day ของตลาดซื้อ-ขายลีกอังกฤษแบบพอดิบพอดี

จบลงไปซักที กับการเซ็นสัญญาของ Ryan Gravenberch หลังจากที่ต้องลุ้นกันมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งสุดท้ายก็ประกาศ Here We Go กันไป ตอนเช้ามืดของวันเสาร์นี้เอง

หลังจากที่พลาด 2 แข้งอย่าง Moises Caicedo และ Romeo Lavia ให้กับ Chelsea ไปทั้ง 2 คนแล้ว ฝั่งของ Liverpool ก็มุ่งหน้ามองหาเป้าหมายใหม่โดยทันที โดยหนึ่งในนั้น ก็มีชื่อของ Gravenberch อยู่ด้วย

ข่าวลือต่าง ๆ ที่ถาโถมออกมาอย่างมากมาย ทีม หงส์แดง ถูกจับโยงกับคนนั้นที คนนี้ที, แต่ท้ายที่สุด Jurgen Klopp ก็พุ่งเป้าไปที่แข้งชาวดัตช์ และทุกอย่างก็ลงเอยด้วยความสำเร็จ

Ryan Gravenberch (1)

ในทีแรก เรามองกันว่า Liverpool ต้องการกองกลางตัวรับเพิ่มเติม แม้จะคว้า Wataru Endo มารวมทีมได้แล้วก็ตาม แต่สายข่าวที่มีระดับความน่าเชื่อถือสูง ก็เปิดเผยว่า Klopp ไม่ได้ต้องการแบบนั้นอีกแล้ว

เป้าหมายจริง ๆ คือ เขากำลังมองหา “นักเตะหมายเลข 8” คนใหม่ให้กับทีม ซึ่งเมื่อคัดกรองรายชื่อที่ผ่านมาเข้ามา Ryan Gravenberch จึงเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

สไตล์การเล่นที่สร้างชื่อให้กับดาวเตะวัย 21 ปีคือ Box-to-Box โดยกองกลางรายนี้ถือเป็นคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองมาตั้งแต่ตอนเล่นกับ Ajax ภายใต้การขัดเกลาของ Eric Ten Hag ผู้จัดการทีม Manchester United คนปัจจุบันนั่นเอง

เมื่อปี 2020 ในสารคดีเกี่ยวกับวงการฟุตบอลยุโรป ที่เผยแพร่ผ่านทาง ESPN ได้มีการพูดถึงพรสวรรค์ของ Gravenberch ซึ่งเจ้าตัวถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของนักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามอง เคียงข้าง  Anthony ปีกราคา 86 ล้านปอนด์ของทีมปีศาจแดงในปัจจุบัน และ Mohammed Kudus ที่เพิ่งย้ายไปเล่นให้กับ West Ham เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้

Mohamed Kudus - Anthony

ในรายการดังกล่าว พูดถึงนักเตะใหม่ของ Liverpool เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “Gravenberch ได้สัมผัสการลงเล่นในทีมชุดใหญ่ในช่วงสั้น ๆ ในเดือนกันยายนปี 2018 ตอนที่เขาอายุ ได้ 16 ปี แต่ก็ต้องรอเวลาอีกหนึ่งปีกว่า ๆ จึงจะได้ลงเล่นในระดับ Eredivisie (ลีกสูงสุดของฮอลแลนด์) อีกครั้ง”

“แต่การรอคอยนั้นคุ้มค่า เพราะเมื่อกองกลางตัวรับในสไตล์ Box-to-Box เริ่มได้รับการจับตามองจากสโมสรชั้นนำทั่วยุโรป”

“ด้วยการเคลื่อนไหวที่เนียนตา สง่างาม และสงบนิ่ง การจ่ายบอลที่แม่นยำ เขาสามารถทำให้เกมลื่นไหลได้ ด้วยการผ่านบอลจากการสัมผัสบอลเพียงไม่กี่ครั้ง ทำให้มั่นใจได้ว่า เทคนิคอันยอดเยี่ยมเหล่านี้ของ Gravenberch นั้น จะทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่สามารถไว้ใจได้อย่างไม่มีปัญหา”

“เขามีเท้าที่รวดเร็ว บวกกับการคอนโทรลบอลอย่างใกล้ชิด วิสัยทัศน์ และมีทักษะของการเป็นเพลย์เมคเกอร์ ที่สามารถช่วยสร้างโอกาสในการทำประตูจากการตัดเข้าใน และตะบันด้วยเท้าขวาข้างถนัด เด็กหนุ่มคนนี้ มีส่วนผสมของนักเตะที่มีความโดดเด่นในการสร้างสรรค์เกม การไม่สามารถคาดเดาได้ และความดุดันในแดนกลาง”

ไรอัน กราเวนเบิร์ช

ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้ Ryan Gravenberch กลายเป็นผู้เล่นที่น่าจับตามองในขณะนั้น แต่เมื่อเขาย้ายมาเล่นให้กับ Bayern Munich เจ้าตัวกลับได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเพียง 3 เกม ภายใต้การนำทัพของผู้จัดการทีม 2 คน

สถิติการลงสนามโดยรวมของดาวเตะวัย 21 นั้นอยู่ที่ 568 นาที นับตั้งแต่การเปิดตัวนัดแรกในปลายเดือนสิงหาคม โดยลงเล่นไปทั้งหมด 25 นัด ซึ่งเฉลี่ยแล้วได้มีเวลาในสนามเกมละ 22.7 นาทีเท่านั้น

ตำแหน่งหลัก ๆ ที่เยอรมนีของ  Gravenberch คือบทบาทการเล่นเป็นกองกลางตัวกลาง โดยรับหน้าที่สร้างสรรค์เกมจากแดนกลางสนาม อีกทั้งเขายังเคยรับหน้าที่คล้าย ๆ กับมิดฟิลด์ตัวรับในบางนัด ทั้งในช่วงที่ค้าแข้งกับ Ajax และ Bayern Munich ด้วย

หากมองเช่นนี้ คำถามคือการย้ายมายัง Liverpool อาจจะทำให้เขาต้องมาแย่งตำแหน่ง “หมายเลข 8” กับ Dominik Szoboszlai หรือหน้าที่เพลย์เมคเกอร์สร้างสรรค์เกมของ Alexis Mac Allister ในแดนกลางหรือเปล่า และหมายความว่า มันจะทำให้เขาไม่ได้ลงสนามอย่างสม่ำเสมออย่างที่ต้องการอย่างงั้นหรือ

คำตอบคือ อาจจะใช่ หรือ ไม่ใช่ก็ได้

Gravenberch - Wijnaldum

นั่นเป็นเพราะว่า มีแนวคิดที่น่าสนใจว่า การดึง Gravenberch มาร่วมทีมของ Jurgen Klopp นั้น เขาอาจจะต้องการให้นักเตะเข้ามารับตำแหน่งกองกลางหมายเลข 6 แทนที่ Gini Wijnaldum ก็เป็นได้ เพราะก่อนหน้านี้ที่ “ซีดุม” ตัดสินใจอำลาทีม เราก็ได้ยินแต่เรื่องการตามหาคนที่จะมาแทนที่เขามาโดยตลอด แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังหาไม่เจอซักคน

และว่ากันว่าที่ Liverpool ลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาโดยตลอดในช่วง 2-3 ปีหลัง หนึ่งในสาเหตุนั้น คือการขาดคนที่มารับบทบาทที่ Wijnaldum เคยทำไว้ ซึ่งตอนนี้เราอาจจะแอบคาดหวังให้ Gravenberch เป็นคนคนนั้นอยู่ก็ได้

จะจริงเท็จขนาดไหน ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ก็อย่าลืมว่า นักเตะทั้ง 2 คนนั้นย่อมไม่มีใครเล่นเหมือนกัน ทั้งคู่มีสไตล์การเล่นเป็นของตัวเอง อยู่ที่ว่าผู้จัดการทีมจะเลือกใช้งานแบบไหน และในแท็คติกแบบใด แต่ในตอนนี้ ถือว่าแผนการยกเครื่องแดนกลางของ Liverpool และ Jurgen Klopp นั้น ได้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายตามที่วางเอาไว้แล้ว

จากนี้ ก็เหลือแต่การทำผลงานให้ดีที่สุด เพื่อกลับไปเล่นในรายการ UEFA Champions League และกลับมาลุ้นแชมป์กับ Manchester City ได้อีกครั้ง

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top