หลังจบเกมที่แพ้ให้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ แบบพลิกความคาดหมาย เสียงเรียกร้องให้ ลิเวอร์พูล ต้องทุ่มเงินเพื่อซื้อกองกลางคนใหม่ในช่วงตลาดเดือนมกราคมก็ดังขึ้น และหนึ่งในตัวเลือกที่ถูกเอ่ยถึงก็คือ แฟรงกี้ เดอ ยอง มิดฟิลด์ที่ดูกำลังจะหมดอนาคตกับ บาร์เซโลนา
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ทาง ESPN ได้ตีข่าวว่า หงส์แดง กำลังพิจารณาเรื่องการยื่นข้อเสนอให้กับแข้งชาวดัตช์พิจารณาในการย้ายมายังถิ่น แอนฟิลด์ ในช่วงหน้าหนาวนี้ทันที หลังจากที่มีข่าวเรื่องความบาดหมางของนักเตะกับต้นสังกัด แต่งานนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อพวกเขาต้องเจอกับกระดูกชิ้นโตอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี ที่เคยมีข่าวกันมาก่อนหน้านี้เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาด้วย
ทีม ปีศาจแดง เกือบคว้า เดอ ยอง มาร่วมทีมได้แล้วเมื่อช่วงพรี-ซีซัน พวกเขาสามารถตกลงค่าตัวกับทาง บาร์เซโลนา ได้ที่ 85 ล้านยูโร หรือประมาณ 74.1 ล้านปอนด์ แต่นักเตะก็ประกาศชัดเจนว่าไม่ต้องการย้ายไปไหน ในขณะที่ สิงห์บลู มีการยื่นข้อเสนอไปเหมือนกัน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในช่วงโค้งสุดท้ายของตลาด
ข่าวความสนใจในตัวดาวเตะวัย 25 ปีของฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังคงมีอยู่ แต่อาจจะต้องเจอกับปัญหา เนื่องจากเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาใช้เงินไปกว่า 200 ล้านปอนด์ในการเสริมทัพมาแล้ว ส่วน เชลซี นั้น ก็มีข่าวว่าได้ติดต่อกับนักเตะอย่างต่อเนื่อง เพราะพวกเขามองว่านี่คือตัวแทนของ เอ็นโกโล ก็องเต้ และ จอร์จินโญ ในอนาคต
กระแสข่าวเทมาทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ค่อนข้างเยอะในช่วงหลัง เนื่องด้วยผลงานที่ไม่คงเส้นคงวาและปัญหานักเตะได้รับบาดเจ็บเต็มทีม ทำให้พวกเขาถูกมองว่าจะจริงจังกับการเซ็นสัญญากับ เดอ ยอง มากกว่าใครเพื่อน และก็มีรายงานว่าทีมงานของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้มีการพูดคุยกับเอเยนต์ของนักเตะไปบ้างแล้ว
และเพื่อให้การตัดสินใจง่ายขึ้น เว็บไซต์ Liverpool.com จึงได้รวบรวมสาเหตุที่ เดอ ยอง ควรย้ายมาเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ในตลาดเดือนมกราคมนี้
ถึงอยู่กับบาร์ซาต่อไป ก็ไม่มีใครรัก
ที่มาที่ไปของการกลายเป็นส่วนเกินในครั้งนี้น่าจะมาจากการที่ บาร์ซา มีปัญหาเรื่องการเงินและติดหนี้ก้อนโตนักเตะอยู่ โดยประมาณกันว่าเป็นเงินสูงถึง 15 ล้านปอนด์ หรือราว ๆ 17 ล้านยูโร ซึ่งเป็นเงินที่พวกเขาให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจะให้คืน เมื่อตอนที่ขอลดค่าเหนื่อยลงชั่วคราวช่วงโควิด แต่ไป ๆ มา ๆ สโมสรจะเล่นแง่ไม่จ่ายเสียอย่างนั้น
เรื่องนี้ทำให้ เดอ ยอง เจ็บปวดมาก เขาแสดงความจงรักภักดีต่อ บาร์เซโลนา มาตลอด ถึงขนาดที่ตอน แมนยู มาทาบทามก็ยืนยันว่าไม่อยากย้าย แต่กลายเป็นว่าข้อบาดหมางตรงนี้ทำให้ต้นสังกัดพยายามหาช่องโหว่ทางกฎหมายมาฟ้องร้อง
ทางด้านแฟนบอลก็ออกมาตะโกนขับไล่หน้าสนามหาว่าเป็นคนที่ทำให้ทีมมีปัญหาเรื่องการเงิน แล้วเมื่ออยู่ไปใคร ๆ ก็ไม่รัก การย้ายมาเล่นกับ ลิเวอร์พูล ที่ เดอะค็อป พร้อมหนุนหลังนักเตะทุกคนจึงเป็นทางเลือกที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง
การันตีว่า ได้ลงสนามอย่างเต็มที่แน่นอน
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น สถานภาพของ เดอ ยอง นั้นเป็นเพียงตัวสำรอง เขาได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเพียง 5 จาก 10 เกมแรกใน ลา ลีก้า และลงเล่นเป็น 11 ตัวจริงแค่เกมเดียวจาก 4 นัดใน แชมเปี้ยนส์ ลีก นอกนั้นคือถูกส่งลงเล่นในช่วงท้ายเกมทั้งสิ้น โดยรวมแล้วเจ้าตัวลงเล่นไปแค่ 54 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่นับการขาดหายไปอีก 2 เกมเนื่องจากได้รับบาดเจ็บ
ดูแล้วไม่มีแนวโน้มเลยว่าเขาจะได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง ในขณะที่ 2 ดาวรุ่งอย่าง เปดรี และ กาบี กำลังฟอร์มเด่นและเพิ่งคว้ารางวัล โกลเด้นบอย ได้คนละสมัยใน 2 ปีหลังสุด พูดง่าย ๆ ว่าไม่มีพื้นที่ในแดนกลางเหลือว่างเลย และแม้ในรายของ เซร์คิโอ บุสเก็ต จะย่างเข้าอายุ 34 ปีแล้ว แต่ ชาบี ก็ไม่ได้มองว่าแข้งชาวดัตช์คือตัวแทนในอนาคตอยู่ดี
ถ้าหาก เดอ ยอง ตัดสินใจย้ายมาเล่นที่ แอนฟิลด์ ในสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าตัวเลือกแรกของ เยอร์เก้น คล็อปป์ คือ เดอ ยอง อย่างไม่ต้องสงสัย เขาจะได้ลงสนามเคียงข้างกับ ติอาโก้ อัลคันทารา และ ฟาบินโญ โดยมี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฮาร์วีย์ เอลเลียต และ เคอร์ติส โจนส์ เป็นกำลังสำรอง ซึ่งนี่คือสิ่งที่แฟนบอลต้องการ
สไตล์การเล่นเข้ากับ ลิเวอร์พูล สุด ๆ
การเข้ามาของ ชาบี เอร์นันเดซ ส่งผลต่อการเล่นของ เดอ ยอง อย่างมาก เขาเคยให้สัมภาษณ์เมื่อต้นปีว่า แนวทางการเล่นของทีมชาติฮอลแลนด์นั้นเหมาะกับตนมากกว่า เพราะมันทำให้เขาคือคนแรกที่ได้รับบอลจากกองหลัง หรือพูดง่าย ๆ ว่ามันทำให้เขาได้เล่นในตำแหน่งหมายเลข 6 อย่างที่ถนัด
ด้วยระบบของ หลุยส์ ฟาน กัล ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เขานิยมชมชอบการเล่นมิดฟิลด์ 2 คนมากกว่า ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็พยายามปรับทีมให้เล่นในระบบนี้อยู่เช่นกัน ในขณะที่นักเตะก็สามารถเล่นในระบบกองกลาง 3 คนได้ดีด้วย
ที่ ลิเวอร์พูล มี เยอร์เก้น คล็อปป์
ตลอดเส้นทางการค้าแข้งของ แฟรงกี้ เดอ ยอง กับ บาร์เซโลนา เขาลงเล่นให้กับเฮดโค้ชถึง 4 คน ไล่มาตั้งแต่ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้, กีเก้ เซเตียน, โรนัล คูมันน์ และ ชาบี เอร์นานเดซ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องยอมรับว่าดีกรี ความสำเร็จ และการได้รับการยอมรับยังสู้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ได้
กองกลางวัย 25 ปีนั้นเป็นนักเตะอัจฉริยะคนหนึ่งของวงการ แต่นับตั้งแต่ย้ายมายังถิ่น คัมป์นู เจ้าตัวก็ยังไม่ได้โชว์ศักยภาพอย่างเต็มที่เหมือนตอนที่อยู่กับ อาแจ็กซ์ ซึ่งที่นั่นทำให้เขาเคยได้รับรางวัลมิดฟิลด์ยอดเยี่ยมของศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้วหลังจากที่พาทีมทะลุเข้าสู่รอบเซมิไฟนอลได้เมื่อปี 2019
ไม่อยากจะคิดว่าถ้านักเตะระดับนี้มาอยู่ในมือของ เยอร์เก้น คล็อปป์ แล้ว ลิเวอร์พูล จะไปได้ไกลขนาดไหน
มีโอกาสสูงที่จะได้ไปต่อในรายการ แชมเปี้ยนส์ ลีก
สถานการณ์ของ บาร์เซโลนา ในรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก นั้นลูกผีลูกคนเหลือเกิน พวกเขารั้งอันดับ 3 ของตารางมี 4 คะแนนจากการลงสนาม 4 นัดโดยตามหลัง อินเตอร์ มิลาน อันดับ 2 อยู่ 3 แต้ม และโดน บาเยิร์น ทิ้งขาดไปแล้ว หลังจากที่เก็บชัยชนะได้ 4 เกมรวด
นั่นหมายความว่า บาร์ซา ต้องแย่งกันเข้ารอบน็อคเอ้าท์กับทีม งูใหญ่ ใน 2 เกมที่เหลือ โดยนัดต่อไปพวกเขาจะเปิดบ้านรับจ่าฝูงอย่าง บาเยิร์น ในขณะที่ทีมจากอิตาลีจะเปิดบ้านเจอกับทีมบ๊วยอย่าง วิคตอเรีย พัลเซน ที่ยังไม่ชนะใครเลย ซึ่งถ้าลูกทีมของ ซิโมเน อินซากี้ เก็บ 3 แต้มได้ ทุกอย่างก็จะปิดฉากทันที และทีม อาซูกรานา ก็จะร่วงลงไปเล่น ยูโรป้า ลีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
ในขณะที่ ลิเวอร์พูล เก็บได้ 9 คะแนนจาก 4 เกม พวกเขาต้องการอีกแค่คะแนนเดียวเท่านั้นจาก 2 นัด ก็จะลอยลำเข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์ทันที
ถ้าเกิด เดอ ยอง ได้มาอ่านบทความฉบับนี้ (มโน) เชื่อว่า มันจะเป็นเหตุผลที่ง่ายต่อการตัดสินใจของเขาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว