เป็นที่ทราบกันดีว่าแผนการเล่นที่นำความสำเร็จมาสู่ ลิเวอร์พูล ในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ นั้นคือระบบ 4-3-3 ซึ่งเรานึกภาพตามได้ว่าใครเล่นตรงไหนและแท็คติกเป็นอย่างไร หากแต่หลังจากการย้ายเข้ามาของ ดาร์วิน นูนเญซ และการจากไปของ ซาดิโอ มาเน เราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในฤดูกาลหน้า
มีการพูดกันว่าเพื่อให้ได้ประโยชน์จาก นูนเญซ อย่างเต็มประสิทธิภาพนายใหญ่ชาวเยอรมันอาจมีการนำระบบ 4-2-3-1 เข้ามาติดตั้งและใช้งานในการไล่ล่าแชมป์ และแน่นอนว่ามันอาจจะส่งผลต่อนักเตะบางคนภายในทีมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
เรามาดูกันว่าหาก เยอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนแปลงแท็คติกจริง ๆ ใครจะได้ประโยชน์จากระบบใหม่นี้ และแข้งคนใดที่อาจจะสูญเสียตำแหน่งของตัวองไปบ้าง
ฟาบิโอ คาร์วัลโญ
หนึ่งคนที่จะได้รับประโยชน์จากระบบ 4-2-3-1 แบบเต็ม ๆ ก็คือเพลย์เมคเกอร์จาก ฟูแลม เพราะการที่เขาสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นจนไปเข้าตา คล็อปป์ และทีมงานนั้นก็มาจากการลงเล่นในตำแหน่ง “หมายเลข 10” ในถิ่น คราเวน ค็อทเทจ ภายใต้การคุมทีมของ มาร์โก้ ซิลวา เมื่อซีซันที่ผ่านมา
แม้ว่าระบบเดิมของ ลิเวอร์พูล จะไม่ต้องการนักเตะแบบ “เพลย์เมคเกอร์” แต่เมื่อจะมีการนำเอาแผน 4-2-3-1 มาใช้ก็เชื่อว่าดาวรุ่งวัย 18 ปีจะกลายเป็นคีย์แมนคนสำคัญได้ไม่ยาก
แม้ว่า คาร์วัลโญ จะสามารถเล่นได้แทบทุกตำแหน่งในแนวรุก รวมทั้งการเป็นมิดฟิลด์หมายเลข 8 และกองหน้าริมเส้นในระบบ 4-3-3 แต่เหตุผลที่ ลิเวอร์พูล ใช้ความพยายามอย่างมากในการดึงตัวเขามาร่วมทีมก็เป็นเพราะฟอร์มการเล่นในตำแหน่งหมายเลข 10 จากแผน 4-2-3-1 นี่แหละ ดังนั้นเราจะได้เห็นฝีเท้าของเจ้าหนูรายนี้อย่างแน่นอน
อิบราฮิมา โคนาเต้
อีกหนึ่งคนที่จะได้ประโยชน์จากการเล่นระบบใหม่ก็คือ โคนาเต้ ซึ่งเมื่อซีซันที่แล้วสามารถก้าวขึ้นมาเบียดแย่งตำแหน่งกับ โจเอล มาติป ได้อย่างสูสี ซึ่งแม้จะยังไม่ได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่องมากนัก แต่การันตีได้เลยว่าหากไม่มีอาการบาดเจ็บหรือฟอร์มตกอย่างน่าเกลียด เขาจะเป็นหนึ่งในเซ็นเตอร์ตัวหลักในอนาคตของ ลิเวอร์พูล ก็ว่าได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ นำเอาระบบ 4-2-3-1 เข้ามาใช้ในฤดูกาลหน้า “อิบู” ดูจะเหมาะสมกว่าด้วยรูปร่างที่ใหญ่โต ความแข็งแกร่ง และการมีความเร็วเป็นทีเด็ด เพราะเมื่อใช้แผนการเล่นดังกล่าวจะทำให้นักเตะกองกลางจะเหลือเพียง 2 คน ซึ่งจะไม่ได้มีหน้าที่ช่วยเหลือฟูลแบ็ค 2 ข้างอย่างเต็มที่เหมือนระบบเดิมอีกต่อไป
ดังนั้น ภาระในเกมรับจึงจะตกอยู่กับกองหลังมากขึ้น โดยเฉพาะเซ็นเตอร์แบ็คที่จะต้องเจอกับการดวล 1 ต่อ 1 กับแนวรุกฝ่ายตรงข้ามอยู่บ่อย ๆ ซึ่ง โคนาเต้ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถเอาตัวรอดได้อย่างยอดเยี่ยม
ดาร์วิน นูนเญซ
หากระบบ 4-2-3-1 ถูกนำมาใช้จริงนั่นก็เป็นเพราะ นูนเญซ คนนี้ และด้วยระบบดังกล่าวจะทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากสไตล์การเล่นของกองหน้าวัย 23 ปีเพราะเขามีความแตกต่างจากกองหน้าคนอื่น ๆ ที่มีอยู่ในทีม ณ เวลานี้ค่อนข้างมาก
ด้วยส่วนสูง 6 ฟุต 2 นิ้ว และการยิงประตูที่คมกริบ นูนเญซ จะมีกลายเป็นตัวอันตราของคู่แข่งเมื่อเข้าไปอยู่ในกรอบเขตโทษ เพราะเขาคือผู้เล่นที่เล่นด้วยเท้าได้ดี มีความเร็ว แถมยังสูงใหญ่ บวกกับการครอสบอลของ เทรนท์-อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เชื่อว่า ลิเวอร์พูล จะได้ประตูเป็นกอบเป็นกำจากกองหน้ารายนี้อย่างแน่นอน
ยังไม่พูดถึงการมีเพลย์เมคเกอร์หมายเลข 10 อยู่ด้านหลังในระบบนี้ ซึ่งจะทำให้แข้งอุรุกวัยมีทางเลือกในการยิงประตูได้อย่างหลากหลาย และจะทำให้เขาใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ด้วย
อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน
ปกติในระบบ 4-3-3 ดิอ็อกซ์ รับบทบาทเป็นหมายเลข 8 หรือเป็นกองกลางแบบบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ที่คอยวิ่งช่วยทำเกมรุกและเกมรับ เน้นที่การใช้พละกำลังขับเคลื่อนเกม ซึ่งเจ้าตัวทำเคยได้ดีในซีซันแรกที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อปี 2017
อย่างไรก็ตาม, ในระบบ 4-2-3-1 บทบาทของ ดิอ็อกซ์ จะลดลงอย่างมาก และสไตล์การเล่นแบบเน้นพละกำลังวิ่งขึ้นวิ่งลงตลอดเวลานั้นจะไม่ถูกนำมาใช้ เนื่องจากมิดฟิลด์ในระบบใหม่นี้จะได้รับคำสั่งให้ยืนคุมพื้นที่ด้านหลังมากกว่าเดิม และสนับสนุนเกมรุกน้อยลง
อาจจะมีเสียงคัดค้านว่า แข้งวัย 28 ก็น่าจะเล่นเป็นตัวรุก 3 คนหลังกองหน้าได้ แต่เขาก็ไม่ใช่นักเตะที่โดดเด่นเท่ากับกลุ่มผู้เล่นที่มีอยู่ ยิ่งการจะจับไปลงในตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์หมายเลข 10 ยิ่งเป็นไปได้ยาก เนื่องจากตำแหน่งนี้ต้องการผู้เล่นที่มีทักษะและความสมารถเฉพาะตัวสูง
โมฮาเหม็ด ซาลาห์
โม ซาลาห์ กลายเป็นดาวซัลโวของ พรีเมียร์ลีก ได้เพราะการลงเล่นในตำแหน่งปีกขวาในระบบ 4-3-3 ด้วยสไตล์การไปกับบอลที่อาศัยความเร็วและการตัดเข้าด้านในเพื่อทำประตู ซึ่งหากเปลี่ยนมาใช้ระบบ 4-2-3-1 เขาจะถูกจับไปเล่นเป็นแนวรุก 3 คนหลังกองหน้า ทำให้บทบาทก็จะเปลี่ยนไปไม่น้อย
ดาวยิงอียิปต์จะต้องทำหน้าที่สนับสนุน ดาร์วิน นูนเญซ และจะตัดเข้ามาเล่นหรือยิงประตูด้านในได้น้อยลงกว่าเดิม ซึ่งจะทำให้เขาทำประตูได้น้อยลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตามตัวเขาเองก็เคยเล่นในระบบนี้มาก่อนแล้วสมัยอยู่กับ โรมา แต่ก็ไม่ได้ยิงประตูได้มากมายเพราะต้องคอยเป็นกองหนุนให้กับ เอดิน เชโก้ มากกว่า
นี่อาจจะเป็นเรื่องดีกับ เยอร์เก้น คล้อปป์ และ ลิเวอร์พูล ก็ได้ หากพวกเขาต้องการมูฟออนจากการพึ่งพา ซาลาห์ เหมือนเมื่อก่อน และด้วยสัญญาที่เหลืออีกเพียงปีเดียวก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างที่สุด
เคอร์ติส โจนส์
โจนส์ อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกับการลงหลักปักฐานเป็นตัวจริงที่ ลิเวอร์พูล เพราะเมื่อ 2 ซีซันก่อนดูเหมือนว่าเขาจะได้รับความไว้วางใจจาก คล็อปป์ ให้มีบทบาทในแผงมิดฟิลด์ แต่พอซีซันที่ผ่านมากลายเป็นว่าเจ้าตัวไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นเอาไว้ได้
สำหรับในฤดูกาลหน้ากองกลางวัย 21 ปีก็อาจจะเจอกับปัญหาหากมีการเปลี่ยนแผนการเล่นเป็น 4-2-3-1 เพราะแต่เดิมเจ้าตัวมักได้รับบทบาทมิดฟิลด์หมายเลข 8 เมื่อยามลงสนาม ซึ่งเขาได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วมกับเกมรุกและทำหน้าที่ช่วยเกมรับตามแบบฉบับของแผน 4-3-3
แต่กับการเล่นในระบบใหม่นั้นจะแตกต่างออกไป เพราะหน้าที่ในแดนกลางจะถูกจำกัดลงและต้องยืนคุมพื้นที่ในแนวลึกตรงกลางสนามมากกว่าเดิม ซึ่งดูแล้ว โจนส์ ไม่ได้เหมาะกับการเล่นเป็นโฮลดิ้งมิดฟิลด์ซักเท่าไหร่ หรือหากจะดันขึ้นไปเป็นเพลย์เมคเกอร์ เขาก็ไม่ใช่นักเตะที่มีเทคนิคชั้นเลิศ หรือการโยกไปยืนฝั่งซ้ายก็มี หลุยส์ ดิอาซ ที่จับจองตำแหน่งนั้นอยู่แล้ว นั่นจึงอาจทำให้เจ้าตัวต้องดิ้นรนอีกครั้งเพื่อที่จะมีบทบาทในทีมและอยู่ในสายตาของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ให้ได้