ปฏิเสธไม่ได้ว่า ลิเวอร์พูล คือสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยการการันตีถ้วยรางวัลมากมายทั้ง แชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชั่น 1+พรีเมียร์ลีก)19 สมัย แชมป์เอฟเอคัพ 8 สมัย แชมป์ลีกคัพ 9 สมัย แชมป์ยูฟาคัพ (ยูโรป้าลีก) 3 สมัย และแชมป์ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 6 สมัย ยังไม่นับถ้วยอื่น ๆ อย่าง คอมมูนิตี้ชิลด์, ยูฟา ซูเปอร์คัพ และ ฟีฟาคลับเวิลด์คัพ หรือแชมป์สโมสรโลก ซึ่งพวกเขาก็กวาดเข้าตู้โชว์มาแล้วทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม, ความยิ่งใหญ่และความสำเร็จของทุกสรรพสิ่งย่อมมีที่มาที่ไป ซึ่งสโมสร ลิเวอร์พูล ก็เป็นเช่นนั้น และในโอกาสที่วันนี้ วันที่ 3 มิถุนายนซึ่งถือเป็นวันก่อกำเนิดหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกลูกหนัง เรามาดูกันว่า หงส์แดง ของ เดอะค็อป มีจุดเริ่มต้นและความเป็นมากันอย่างไร
การก่อกำเนิด
ต้นกำเนิดของสโมสร ลิเวอร์พูล เกิดจากการที่ จอห์น โฮลดิ้ง เจ้าของที่ดินที่ แอนฟิลด์ เกิดข้อพิพาทกับทางคณะกรรมการของ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งแต่เดิมใช้สนามแห่งนี้เป็นสนามเหย้าของตัวเอง จากนั้นในปี 1892 ทาง เดอะท็อฟฟี่ ก็ได้ตัดสินใจย้ายไปใช้ กูดิสันปาร์ค เป็นสนามแห่งใหม่แทน ในขณะที่ โฮลดิ้ง ก็ได้ทำการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลขึ้นมาใหม่ขึ้นมาแทนในเดือนมีนาคม 1892 โดยใช้สนาม แอนฟิลด์ เป็นรังเหย้า และให้ชื่อว่า “เอฟเวอร์ตันเอฟซีแอนด์ดิแอตเลติกกราวน์ลิมิเต็ด (Everton F.C. and Athletic Grounds Ltd)” หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า “เอฟเวอร์ตันแอตเลติก”
โฮลดิ้ง พยายามที่จะใช้ชื่อ เอฟเวอร์ตันแอตเลติก ในการเข้าร่วมแข่งขันอย่างเป็นทางการ และอ้างว่าพวกเขาคือ เอฟเวอร์ตัน เดิม แต่สมาคมฟุตบอลของอังกฤษในขณะนั้นปฏิเสธที่จะยอมรับในเรื่องนี้ ทำให้ในอีก 3 เดือนต่อมา ทางสโมสรจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ชื่อเมือง “ลิเวอร์พูล” เป็นชื่อของทีมแทน และได้รับการรับรองจากสมาคมให้เข้าร่วมทำการแข่งขันในรายการอย่างเป็นทางการได้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ลิเวอร์พูล ลงเล่นเกมแรกของพวกเขาในวันที่ 1 กันยายน 1892 ซึ่งเป็นการลงสนามในเกมนัดอุ่นเครื่องก่อนเปิดฤดูกาลและสามารถเอาชนะคู่แข่งไปได้ 7-1 ซึ่งนักเตะที่ลงสนามในวันนั้นเป็นชาวสก็อตติชทั้งหมด โดยมี จอห์น แม็กเคนนา เป็นผู้จัดการทีมคนแรก
สู่ความยิ่งใหญ่
หลังจากที่ ลิเวอร์พูล ทำการเปิดตัวเป็นทีมน้องใหม่ได้ไม่นานพวกเขาก็เข้าร่วมการแข่งขัน “แลงคาเชียร์ลีก” และเป็นแชมป์ตั้งแต่ซีซันแรก ก่อนจะเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในระดับดิวิชัน 2 ในปี 1893 และเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในปี 1900 พร้อมกับคว้าแชมป์ทันทีในฤดูกาลแรก และถือเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
อย่างไรก็ดี, ยุคที่ถือว่าเป็น “พีค” ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรต้องยกให้ช่วงทศวรรษที่ 1970-1980 ที่แฟนบอลทั่วโลกได้รู้จักกับทีม หงส์แดง และสไตล์การเล่นแบบ “เร้ดแมชชีน” หรือเครื่องจักรสีแดง พวกเขากวาดแชมป์ดิวิชัน 1 ของอังกฤษได้ทั้งหมด 11 สมัย แชมป์เอฟเอคัพอีก 3 สมัย, ลีกคัพ 4 สมัย, ยูฟาคัพ 2 สมัย และ ยูโรเปี้ยนคัพ หรือชื่อเดิมของ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 4 สมัย โดยคว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นครั้งแรกในปี 1977
รากฐานของความสำเร็จที่เกิดขึ้นในยุคนั้นมาจากชายที่ชื่อ บิลล์ แชงคลีย์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมเมื่อปี 1959 โดยตอนนั้นทีมอยู่ในดิวิชัน 2 ก่อนจะไต่กลับขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดและพาทีมประสบความสำเร็จอย่างมากมายรวมทั้งการวางแนวทางไว้ให้กุนซือรุ่นหลังได้สานต่อจนครองความเป็นหนึ่งในยุโรปได้ในเวลานั้น
เข้าสู่ยุคตกต่ำ
ลิเวอร์พูล ในยุค 70-80 ถือได้ว่าเป็นยอกทีมของยุโรปและของโลกในเวลานั้นจากแชมป์อันมากมายทั้งในประเทศและระดับทวีป รวมทั้งการมีนักเตะระดับตำนานเกิดขึ้นมากมาย อาทิ มาร์ค ลอว์เรนสัน, สตีฟ ไฮเวย์, อลัน แฮนเซน, เควิน คีแกน, เคนนี ดัลกลิช, แกรม ซูเนสส์, แยน โมลบี้, บรูซ กร็อบเบลลา, เอียน รัช และ จอห์น บาร์นส์ แข้งเหล่านี้คือผู้สร้างความสำเร็จให้กับ หงส์แดง ตลอดช่วง 2 ทศวรรษ ภายใต้การคุมทีมของยอดกุนซืออย่าง บิลล์ แชงคลี และผลผลิตจาก “บูตรูม” ที่เขาสร้างเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น บ็อบ เพรสลีย์, โจ เฟแกน และ เคนนี ดัลกลิช
อย่างไรก็ตาม, ชีวิตมีขึ้นก็ย่อมมีลงเสมอ เร้ดแมชชีน ก็เจอกับสัจธรรมนี้เช่นเดียวกัน โดยจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 1989 ช่วงที่ คิงเคนนี รับหน้าที่ผู้เล่นและผู้จัดการทีม แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 3 สมัย แต่เหตุการณ์ที่รู้จักกันในชื่อว่า “โศกนาฏกรรมที่ฮิลส์โบโร” ซึ่งเป็นเกิดขึ้นในเกม เอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ โดยลงเตะกันที่สนาม ฮิลส์โบโร ของ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ที่แฟนบอล หงส์แดง โดนบีบอัดเข้ากับรั้วกันระหว่างอัฒจรรย์กับสนามและเสียชีวิตไปเกือบ 100 ร้ายก็กลายเป็นเหมือนตราบาปของวงการฟุตบอลอังกฤษ และทำให้ ดัลกลิช ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งในปี 1991 และถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุครุ่งเรืองของ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เดอะเร้ดส์ ไม่เคยคว้าแชมป์ลีกได้อีกเลยแม้จะเปลี่ยนชื่อมาเป็น พรีเมียร์ลีก เมื่อปี 1992 ก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังคงมีแชมป์บอลถ้วยติดมืออยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการได้ทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วยเมื่อปี 2001 และ แชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2005
หากคิดว่าในช่วงทศวรรษที่ 1990-2000 คือความตกต่ำของ เดอะเร้ดส์ แล้ว การเข้ามาถือหุ้นของ จอร์จ ยิลเล็ต และ ทอม ฮิกส์ ในปี 2006 อาจจะถือเป็นการซ้ำเติมทีมเข้าไปอีก แม้ 2 นายทุนจากอเมริกาจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ แต่พวกเขากลับไม่สามารถช่วยกอบกู้สโมสรได้ หนำซ้ำยังเกือบพาทีมล้มละลายจากการเป็นหนี้มหาศาล ก่อนที่ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี เจ้าของทีม บอสตันเร้ดซ็อกซ์ และ เฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ป หรือ FSG จะยื่นมือเข้ามาซื้อกิจการของสโมสรและช่วยได้ทันในนาทีสุดท้ายเมื่อปี 2010
หงส์แดงผงาดทวงคืนบัลลังก์แชมป์
ลิเวอร์พูล ภายใต้การบริหารงานของ FSG ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวและมีแนวทางในการพัฒนาทีมอย่างชัดเจน พวกเขาปลด รอย ฮฮดจ์สัน ออกจากตำแหน่งและแต่งตั้ง เคนนี ดัลกลิช อดีตฮีโร่เข้ามาช่วยทีมอีกครั้ง แต่นอกจากแชมป์ ลีกคัพ เมื่อปี 2012 แล้วก็ถือได้ว่า คิงเคนนี ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แถมทำทีมจบเพียงอันดับ 8 ในซีซัน 2011-2012 ซึ่งเป็นอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี ทำให้ผู้จัดการทีมชาวสก็อตต์ถูกปลดทันทีและมีการนำ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือหนุ่มไฟแรงในขณะนั้นเข้ามาคุมทีม
บีร็อด เกือบทำให้ฝันของ เดอะค็อป เป็นจริงเมื่อซีซัน 2013-2014 เขาพาทีมลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรก ได้จนถึงนัดสุดท้ายแต่ก็พลาดท่าให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ก็ทำให้ หงส์แดง ได้กลับไปเล่นฟุตบอล ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก อีกครั้ง อย่างไรก็ตามด้วยผลงานใน 2 ซีซันต่อมา ร็อดเจอร์ส กลับไม่รักษามาตรฐานเอาไว้ได้ทำให้เขาถูกปลดในเดือนตุลาคมปี 2015
ลิเวอร์พูล ตัดสินใจแต่งตั้ง เยอร์เก้น คล็อปป์ อดีตผู้จัดการทีม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในศึก บุนเดสลีกา ในเดือนเดียวกันทันที จากผลงานที่พาทีมเสือเหลืองโค่นบัลลังก์ของ บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ลีกของเยอรมนีได้ 2 ปีติดต่อกัน และเข้าชิง ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2013 ซึ่งการคุม หงส์แดง ในช่วงครึ่งซีซันที่เหลือนั้นเขาพาทีมจบอันดับ 6 และเป็นรองแชมป์บอลถ้วย 2 รายการอย่าง ลีกคัพ และ ยูโรป้าลีก (ยูฟาคัพเดิม)
เมื่อ คล็อปป์ ได้คุมทีมเต็มตัว เขาก็พา ลิเวอร์พูล กลับไปเล่นฟุตบอล แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ทันที และซีซันต่อมา 2017-2018 ก็เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการดังกล่าว แต่ต้องพ่ายต่อ เรอัล มาดริด อย่างน่าเสียดายไปด้วยผลการแข่งขัน 3-1
ในฤดูกาล 2018-2019 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็ว่าได้ เมื่อเขาเสริมทัพนักเตะใหม่อย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ (ย้ายเข้ามาเมื่อมกราคม 2018) จากนั้นก็เป็น อลิสซอน เบ็คเกอร์, ฟาบินโญ, เซอร์ดาน ชากีรี, นาบี เกอิต้า บวกกับนักเตะที่ย้ายมาก่อนหน้านั้นอย่าง ซาดิโอ มาเน, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, จีนี ไวจ์นัลดุม ซึ่งทั้งหมดนี้กลายเป็นส่วสนสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนสีก หรือแชมปยุโรปสมัยที่ 6 ได้สำเร็จ ในขณะที่จบอันดับ 2 ในลีก โดยมีห่างจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงคะแนนเดียว
จากนั้นในซีซันต่อมา หงส์แดง ยังประกาศศักดาด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟา ซูเปอร์คัพ และ แชมป์สโมสรโลก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร และปิดท้ายฤดูกาลอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปีนับตั้งแต่ปี 1990
ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดันในแบบฉบับ “เกเก้นเพรสซิง” ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ซึ่งเขายังคงพาทีมรักษาระดับเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีช่วงวิกฤติเมื่อซีซัน 2020-201 ก็ตาม แต่ในซีซันล่าสุด 2021-2022 คล็อปป์ ก็ทำให้ หงส์แดง มีลุ้นถึง 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียว แม้สุดท้ายจะทำได้เพียงแชมป์บอลถ้วย 2 รายการอย่าง คาราบาวคัพ (ลีกคัพ) และ เอฟเอคัพ โดยเป็นรองแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก แต่พวกเขาก็ยังถูกพูดถึงในฐานะทีมชั้นนำของยุโรปและของโลกฟุตบอลในยุคปัจจุบัน