หลังการเปิดตัวกับ ลิเวอร์พูล อย่างเป็นทางการเมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2020 ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ ติอาโก้ อัลคันทารา คือชื่อที่แฟนบอล ลิเวอร์พูล เชื่อว่านี่จะเป็นคีย์แมนคนสำคัญที่พาพวกเขาต่อยอดสู่ความสำเร็จไปอีกหลายปี
ตอนนั้นกองกลางทีมชาติสเปนเพิ่งจะมีชื่อเป็น “แมนออฟเดอะแม็ตช์” ในเกม ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศที่ บาเยิร์น มิวนิค สามารถเอาชนะ ปารีส แซงต์–แชร์กแมง ไปได้ 1-0 และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ เดอะค็อป ทั้งหลายต่างพากันดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อรู้ว่าพวกเขาจะได้ยอดแข้งรายนี้ข้ามาอยู่ในทีมในฤดูกาลหน้า
แน่นอนว่าการดึง ติอาโก้ เข้ามาสู่ ถิ่น แอนฟิลด์ นั้นคงไม่ใช่เพื่อเป็นอะไหล่ในแดนกลาง แต่นี่คือนักเตะที่มีความสำคัญของแผนการเล่นและแท็คติกของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่พวกเขาสร้างไว้ในช่วง 2 ปีก่อนหน้านั้น
หากแต่ชีวิตในการย้ายมาเล่นใน พรีเมียร์ลีก ของอดีตแข้ง เสือใต้ ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเพราะในฤดูกาล 2020-2021 เจ้าตัวต้องพบกับอาการบาดเจ็บและการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับฟุตบอลในอีกแบบหนึ่งที่เล่นกันเร็ว ใช้กำลังปะทะอย่างหนักหน่วง และเพรสซิ่งไม่หยุดตลอด 90 นาที
จากความหวังกลายเป็นคำถาม หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ติอาโก้ จะไหวมั้ยกับฟุตบอลเมืองผู้ดี ในขณะที่อีกหลายคนมองว่าร่างกายของเขานั้นเปราะบางเกินไป
ดังนั้น เมื่อจบซีซันก่อนจึงไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงเกี่ยวกับฟอร์มการเล่นของแข้งกระทิงดุ แถมเจ้าตัวยังมาได้รับบาดเจ็บในช่วงพรีซีซันก่อนจะเริ่มฤดูกาลใหม่ นั่นยิ่งทำให้แฟนบอลไม่คิดและไม่คาดหวังอะไรกับนักเตะรายนี้แล้ว
กว่าที่ ติอาโก้ จะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในฤดูกาลใหม่นี้ก็ปาเข้าไปเกมที่ 4 ที่สามารถบุกไปชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด ได้ 3-0 แต่ก็ต้องมาโชคร้ายได้รับบาดเจ็บที่น่องหลังจบเกมที่ 5 ที่เปิดบ้านเอาชนะ คริสตัล พาเลซ ทำให้เขาต้องหายหน้าไปจากสนามนานร่วมเดือน
แต่หลังจากที่สามารถกลับมาลงสนามได้กองกลางวัย 30 ปีก็สามารถยกระดับตัวเองให้กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของ ลิเวอร์พูล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลงเล่นร่วมกับ ฟาบินโญ ในแดนกลาง!
หากสังเกตกันให้ดี แม้ว่า ติอาโก้ จะย้ายมายังถิ่น แอนฟิลด์ ตั้งแต่เมื่อซีซันก่อน แต่เจ้าตัวกลับได้ลงเล่นร่วมกับ “หมอปลา” ในแผงมิดฟิลด์ 3 คนน้อยมาก เนื่องด้วยเหตุวิกฤติเซ็นเตอร์แบ็คเมื่อปีที่แล้วทำให้สตาร์บราซิลเลียนต้องถูกจับลงไปทำหน้าที่แทนอยู่บ่อยครั้ง
หากแต่เมื่อในซีซันนี้ ทุกอย่างกลับมาลงตัว ทำให้ทั้ง ติอาโก้ และ ฟาบินโญ ได้ลงสนามจับคู่กันในแดนกลาง และทั้งคู่ช่วยพา ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะไปแล้ว 15 จาก 16 เกมที่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงร่วมกัน โดยทำให้ทีมยิงได้ 41 ประตูและเสียไปเพียง 6 ลูกเท่านั้น
ด้วยฟอร์มการเล่นแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องผิดเลย หากจะมองว่าทั้งคู่คือคีย์แมนคนสำคัญที่จะทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาเถลิงบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก อีกครั้ง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ คาดหวังจาก 2 กองกลางที่ดีที่สุดของเขาในเวลานี้
ยิ่งเมื่อพูดถึง ฟาบินโญ ใครจะไปคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไปนับตั้งแต่ที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อปี 2018 แข้งแซมบ้าจะสามารถยกระดับตัวเองขึ้นมามีความสำคัญเทียบเท่ากับ 2 แข้งสำคัญอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้ จนตอนนี้กลายเป็นผู้เล่นที่กุนซือชาวเยอรมันไม่อนุญาตให้ลาเจ็บลาป่วยเป็นอันขาด
ในขณะเดียวกัน ติอาโก้ เองก็ยกระดับตัวเองขึ้นมาได้อย่างน่าประทับใจในซีซันนี้ จากที่เคยโดนวิจารณ์เรื่องการเกมรับและเสียบอลง่าย ๆ รวมทั้งทำฟาวล์โดยไม่จำเป็นเมื่อฤดูกาลก่อน ตอนนี้เขากลายเป็นผู้เล่นที่มีสถิติเพรสซิ่งและการแย่งบอลอยู่ในระดับต้น ๆ ของทีมเรียบร้อย
ไม่ต้องถามเรื่องการครองบอลและการไปกับบอล อดีตแข้ง บาร์เซโลนา และ บาร์เยิร์น มิวนิค แสดงให้เห็นถึงคลาสที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน ยังไม่นับลูกยิงสุดสวยในเกมกับ ปอร์โต้ และ เซาแธมป์ตัน นั่นอีก
ฟอร์มการเล่นของทั้งคู่ในเวลานี้จึงมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ยังคงอยู่ในหนทางของการลุ้นแชมป์ร่วมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี
จริงอยู่ที่ว่าเมื่อมองจากขุมกำลังทั้งหมดของ 3 ทีม หงส์แดง อาจจะดูด้อยกว่าใครเพื่อน แต่หาก เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถรักษาความฟิตและส่ง ติอาโก้ และ ฟาบินโญ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงได้อย่างสม่ำเสมอจนจบฤดูกาลแล้วล่ะก็……
พวกเขาอาจฝันถึงแชมป์ได้เลย!