ลิเวอร์พูล – นิวคาสเซิล กับ ‘สายสัมพันธ์’ ที่ปฏิเสธไม่ได้

ลิเวอร์พูล, ข่าวซื้อ-ขายนักเตะ, หงส์แดง, Liverpool,

จะมีซักกี่คนที่พอจะนึกออกว่าสมัยรุ่งเรืองของ นิวคาสเซิล นั้นพวกเขาแทบจะเดินตามรอยของ ลิเวอร์พูล ในยุค 80-90 เลยก็ว่าได้

เรื่องนี้ไม่ได้คิดเองเออเอง เพราะเมื่อย้อนสืบค้นจากประวัติศาสตร์ในช่วง “สาลิกาดง” ก้าวขึ้นมาท้าทายอำนาจของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การกุมบังเหียนของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เราได้พบความจริงที่ว่า พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับ หงส์แดง อย่างไม่อาจปฏิเสธได้

เควิน คีแกน ผู้พานกสาลิกาสยายปีก

ก่อน พรีเมียร์ลีก จะถือกำเนิด ตอนนั้นระบบการแข่งขันฟุตบอลเมืองผู้ดียังใช้คำว่า ดิวิชัน 1, 2, 3 อยู่ ซึ่งในช่วงยุค 80 นิวคาสเซิล ก็วนเวียนอยู่ระหว่าง ดิวิชัน 1 และ 2 ก่อนที่จะจมอยู่ในลีกรองตั้งแต่ปี 1989-1993

คนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง เดอะแม็กพายส์ คือ เควิน คีแกน อดีตผู้เล่นชื่อกระฉ่อนของ ลิเวอร์พูล ในช่วงยุค 70 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงจนถูกยกให้เป็นหนึ่งในตำนานนักเตะ หงส์แดง โดยช่วยทีมคว้าแชมป์ดิวิชัน 1 ได้ 3 สมัย แชมป์ยูฟาคัพ และ แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ หรือชื่อเดิมของ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก

คีแกน อยู่ในถิ่น แอนฟิลด์ จนถึงปี 1977 จากนั้นก็ย้ายไปเยอรมันและกลับมาเล่นในอังกฤษกับ เซาแธมป์ตัน และ นิวคาสเซิล ในช่วงปี 1982-1984

เมื่อ สาลิกาดง ตกชั้นไปเล่นในดิวิชัน 2 ในปี 1989 ตำนาน หงส์แดง ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามารับงานคุมทีมต่อจาก ออสซี อาดิเลส ในปี 1992 และพาทีมรอดพ้นจากการตกชั้นได้อย่างหวุดหวิดในนัดสุดท้าย

ฤดูกาล 1992-1993 เป็นซีซันที่ คีแกน ได้โชว์ฝีมืออย่างเต็มที่ เขาเปลี่ยน นิวคาสเซิล ให้กลายเป็นทีมที่เล่นเกมรุกเป็นหลัก สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับ ทูนอาร์มี อย่างมากและใช้เวลาเพียงซีซันเดียวในการกลับคืนสู่ลีกสูงสุดซึ่งตอนนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น พรีเมียร์ลีก เป็นที่เรียบร้อย

“คิงเคฟ” ไม่ได้ทำให้ทีม ขาว-ดำ เป็นเพียงทีมที่ต้องดิ้นรนหนีการตกชั้น แต่เขาเสริมทัพนักเตะชั้นดีมากมายเข้าไปในทีมอย่างไม่ลดละทั้ง แอนดี้ โคล, ดาวิด ชิโนลา, โรเบิร์ต ลี, เลส เฟอร์ดินานด์, ปีเตอร์ เบียดส์ลีย์,ฟิลลิปส์ อัลแบร์ หรือ ฟาอุสติโน อัสปริยา ซึ่งชื่อเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความยิ่งใหญ่ในถิ่น เซนต์ เจมส์ ปาร์ค และเขย่า พรีเมียร์ลีก ด้วยการเกือบเป็นแชมป์เมื่อซีซัน 1995-1996 มาแล้ว

ลิเวอร์พูล, Liverpool, หงส์แดง

เคนนี ดัลกลิช ตำนานผู้สานต่อตำนาน

แม้ว่า คิงเคฟ จะทำให้ นิวคาสเซิล เป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้สนุก เอนเตอร์เทนคนดูแทบทุกเกม แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถก้าวถึงจุดสูงสุดด้วยการเป็นแชมป์ฟุตบอลลีกได้ โดยทำได้เพียงรองแชมป์ในซีซัน 1995-1996 และในเดือนมกราคม 1997 คีแกน ก็ประกาศลาออกโดยมี เคนนี ดัลกลิช ตำนานของ ลิเวอร์พูล อีกคนที่เข้ามาเสียบตำแหน่งแทน

ดัลกลิช เข้ามารับงานในช่วงปีใหม่ซึ่งก็สามารถประคองทีมคว้าอันดับ 2 ได้สำเร็จ และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอล เอฟเอคัพ ก่อนจะพ่าย อาร์เซนอล ไปอย่างน่าเสียดาย

อย่างไรก็ตาม คิงเคนนี ผู้เคยพา แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาแล้วเมื่อปี 1995 ก็ไม่สามารถสานต่องานของตำนานรุ่นพี่เอาไว้ได้ เพราะปัญหาที่หมักหมมมานานในยุคของ คิงเคฟ ดันมาปะทุในปีที่เขาเข้ามารับงานพอดีจนในท้ายที่สุดเจ้าตัวก็อยู่ไม่ได้เนื่องด้วยผลงานที่ย่ำแย่พาทีมจบอันดับที่ 11 ในซีซัน 1997-1998 ก่อนจะถูกไล่ออกและถือเป็นการปิดตำนานของ คีแกน ไปในตัวด้วย

ลิเวอร์พูล, Liverpool, หงส์แดง

พังด้วยมือ แกรม ซูเนสส์ ?

หลังจากกลับมาอยู่บนหัวแถว พรีเมียร์ลีก อีกครั้งในช่วงปี 1999-2004 ภายใต้ฝีมือของ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน นิวคาสเซิล ก็กลับสู่ช่วงตกต่ำอีกรอบทำให้พวกเขาปลด “ปู่บ็อบ” ออกจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคม 2004 และคนที่เข้ามารับงานต่อคือ แกรม ซุเนสส์ อดีตกุนซือของ ลิเวอร์พูล ช่วงยุคต้น 90

พูดถึง “กุนซือหนวดหิน” รายนี้ เดอะค็อป รุ่นเก่า ๆ อาจมีความทรงจำใน 2 แบบ ในฐานะนักเตะ เขาคือผู้เล่นในสไตล์ดุดัน ถึงลูกถึงคน และเป็นกัปตันทีมในยุค 80 ประสบความสำเร็จอย่างมากมายด้วยการคว้าแชมป์ลีก 5 สมัย แชมป์ยุโรป 3 สมัย และ ลีกคัพ อีก 4 สมัย

ในอีกด้านการผันตัวมาเป็นกุนซือของ ซูเนสส์ นั้นไม่อาจเทียบได้กับการเป็นนักเตะเลยแม้แต่นิดเดียว แม้ว่าจะไปสร้างชื่อกับการเป็นแชมป์ลีกสก็อตแลนด์ 3 สมัยในช่วง 1986-1990 จนได้เข้ามาคุม ลิเวอร์พูล ในปี 1991 ต่อจาก เคนนี ดัลกลิช แต่ก็ไม่สามารถพาทีมกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้

กุนซือชาวสก็อตต์ถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ทำให้ หงส์แดง เข้าสู่ยุคตกต่ำ แม้ว่าจะช่วยทีมเป็นแชมป์ เอฟเอคัพ ได้ในปี 1992 แต่เขาก็พาทีมวนเวียนอยู่ครึ่งล่างของตารางจนในที่สุดอำลาทีมไปในปี 1994 ชนิดที่ไม่มีใครอยากจะจดจำ

เช่นเดียวกับ นิวคาสเซิล กุนซือหนวดหินไม่สามารถช่วยทีมให้พ้นจากความตกต่ำของทีมได้ แถมยังสร้างรอยด่างด้วยการเซ็น ไมเคิล โอเวน กลับคืนสู่ พรีเมียร์ลีก แต่เจ้าตัวก็ไม่ใช่ “เบบี้โกล” คนเดิมอีกแล้ว

ถือเป็นการสิ้นสุด “ลิเวอร์พูลคอนเน็คชั่น” ในถิ่น เซนต์ เจมส์ ปาร์ค โดยสมบูรณ์แบบ

ลิเวอร์พูล, Liverpool, หงส์แดง

สู่ แมนฯ ซิตี้ โมเดล

นิวคาสเซิล ภายใต้บุคลากรของ ลิเวอร์พูล อาจจะไม่ประสบความสำเร็จแต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนจดจำพวกเขาได้มากที่สุดจากฟุตบอลสุดเอนเตอร์เทนภายใต้การคุมทีมของ เควิน คีแกน และแม้จะถูกปลุกชีพด้วยมือของ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน อีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยกลับมาเป็นที่จดจำได้อีกเลย

อย่างไรก็ตามการเข้าเทคโอเวอร์ของกลุ่มทุนซาอุดิอาระเบียกำลังจะทำให้พวกเขากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ใน พรีเมียร์ลีก อีกครั้ง ซึ่งโมเดลที่จะพา เดอะแม็กพายส์ ก้าวสู่การเป็นทีมระดับท็อปของยุโรปนั่นก็คือการเดินตามรอย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มี ชีคมานซู เป็นเจ้าของทีม

ทีม เรือใบสีฟ้า ถูกกลุ่มทุนจากอาบูดาบีเข้ามาซื้อทีมต่อจาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2008 และเดินหน้าดึงซูเปอร์สตาร์อย่าง โรบินโญ เข้ามาสร้างความฮือฮารวมทั้ง “ดาวที่กำลังจะดัง” อีกหลายรายทั้ง ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์, เคร็ก เบลลามี และ โช แต่ด้วยฝีมือการทำทีมของ มาร์ค ฮิวจ์ ทำให้พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จตามเป้า โรแบร์โต้ มันชินี จึงถูกดึงเข้ามาแทนที่ในปี 2009

แมนฯ ซิตี้ โชคดีที่ถูกเทคโอเวอร์ก่อนจะมีกฎการเงินหรือ “ไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์” นั่นทำให้สโมสรสามารถทุ่มเงินหลายร้อยล้านปอนด์คว้าสตาร์ดังมาร่วมทีมทั้ง คาร์ลอส เตเวซ, ซาเมียร์ นาสรี, เซร์คิโอ อเกวโร, แว็งซ็องต์ กอมปานี, เอมานูเอล อเดบายอร์, แกเร็ธ แบร์รี, ยายา ตูเร, มาริโอ บาโลเตลลี และ ดาบิ ซิลบา

ในที่สุดพวกเขาก็คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ ในซีซัน 2011-2012 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวขึ้นมาเป็นยอดทีมอันดับหนึ่งของเกาะอังกฤษในปัจจุบัน

ลิเวอร์พูล, Liverpool, หงส์แดง

อนาคตของ นิวคาสเซิล

ด้วยพลังทางการเงินของกลุ่มทุนใหม่และการใช้ “แมนฯ ซิตี้โมเดล“ เชื่อว่า เดอะแม็กพายส์ จะกลายเป็นทีมที่น่าจับตามอง แม้ว่าจะมีกฎไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์คอยกันท่า แต่ด้วยตัวเลขในบัญชีที่ทำกำไรแทบจะทุกปีจากความงกของเจ้าของเก่าอย่าง ไมค์ แอชลีย์ ถือเป็นจุดดีที่จะทำให้พวกเขาสามารถทุ่มเงินได้อย่างมหาศาลเพื่อสร้างทีมให้แข็งแกร่งได้ภายในไม่กี่ปี

อย่างไรก็ตามพวกเขาจำเป็นจะต้องมองหาผู้จัดการทีมคนใหม่ทีมีฝีมือและบารมีมากกว่า สตีฟ บรูซ ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งนับถอยหลังรอวันถูกปลดออกจากตำแหน่ง

มีลิสต์รายชื่อกุนซือที่มีความเป็นไปได้ที่จะเข้ามารับงานนี้ทั้ง อันโตนิโอ คอนเต้, ซีเนดีน ซีดาน, โรแบร์โต้ มันชินี และ เปาโล ฟอนเซก้า แต่มีชื่อหนึ่งที่หลายคนอยากจะเห็นฝีมือและอยากให้กลับมา พรีเมียร์ลีก อีกครั้งหลังจากที่ออกไปโลดแล่นในลีกเพื่อนบ้านอยู่หลายปี

สตีเวน เจอร์ราร์ด คือชื่อที่ถูกยกให้เป็น “เต็งหนึ่ง” ในตอนนี้

ด้วยดีกรี ชื่อเสียง บารมี ความเป็นผู้จัดการทีมหนุ่มไฟแรงที่เต็มไปด้วยแพสชั่น และความสำเร็จที่จับต้องได้ ทำให้ชื่อของ “สตีวีจี” ถูกเอ่ยขึ้นทุกครั้งหากมีตำแหน่งว่างใน พรีเมียร์ลีก

ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทองและทรัพยากรที่พร้อมสนับสนุนแนวคิดการทำทีม เพียงแค่ผู้จัดการทีมวัย 41 ปีแสดงฝีมือออกมาให้เต็มที่

ไม่แน่เหมือนกันว่า นิวคาสเซิล อาจกลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ด้วย “ลิเวอร์พูลคอนเน็คชั่น” อีกครั้งภายใต้ “แมนฯ ซิตี้โมเดล” ก็เป็นได้

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top